25 กุมภาพันธ์ 2564
“น้ำ” คือสิ่งที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต ในร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นองค์ประกอบถึง 70% ทั้งที่อยู่ในกระแสเลือด ภายในเซลล์ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในกระบวนการเผาผลาญ และการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย เซลล์ไม่สามารถทำงานได้หากขาดน้ำ
ในความเป็นจริงมนุษย์สามารถอดอาหารได้หลายสัปดาห์ แต่หากอดน้ำจะเสียชีวิตภายใน 2-3 วัน ซึ่งตามหลักโภชนาการเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยให้คำนวณปริมาณน้ำจากน้ำหนักตัว และปัจจัยด้านพฤติกรรมอื่นๆ เช่น สภาพอากาศ, การออกกำลังกาย และ อาหารที่ทานในแต่ละมื้อ
ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงเป็นภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
หลายคนเคยได้ยินเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นเมื่อดื่มน้ำน้อยเกินกว่าที่ร่างกายต้องได้รับ นั่นก็คือ ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) ที่ร่างกายสูญเสียน้ำมากกว่าที่ได้รับ ยิ่งเราต้องวิ่งระยะทางไกลๆ อวัยวะทำงานหนัก และระบายความร้อนผ่านทางเหงื่อตลอดเวลา การดื่มน้ำไม่เพียงพอเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
เมื่อเราวิ่ง อุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้นกว่าปกติ อุณหภูมิจะสูงขึ้นประมาณ 1 องศาเซลเซียส ถึงแม้ร่างกายจะพยายามระบายความร้อนผ่านเหงื่อ แต่ก็ยังน้อยกว่าความร้อนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกาย ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเลือดลดลง หัวใจทำงานหนักขึ้นเพราะเลือดข้นกว่าปกติ ดังนั้นนักวิ่งทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าควรใส่ใจเรื่องการดื่มน้ำพอๆ กับการฝึกซ้อม เพราะหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพได้
สังเกตอาการเหล่านี้ระหว่างซ้อมวิ่งหรือแข่งขัน ว่าคุณเข้าข่ายภาวะขาดน้ำหรือไม่
✪ อาการรุนแรงน้อยถึงปานกลาง
กระหายน้ำ, ง่วงซึม อ่อนเพลีย, ผิวแห้ง ตาแห้ง ปากแห้ง, มึนหัว วิงเวียน ปวดศีรษะ, อาเจียน, ท้องเสีย
✪ อาการที่มีความรุนแรง ต้องพบแพทย์โดยด่วน
กระหายน้ำรุนแรง, ไม่มีเหงื่อ, ปัสสาวะน้อยและมีสีเข้ม, ความดันโลหิตต่ำ, หัวใจเต้นเร็วและแรง, หายใจเร็วและหอบ, มีไข้, ตาโหลหรือตาลึก, ผิวหนังแห้งและเหี่ยวย่น, ท้องเสียรุนแรง, อุจจาระเป็นเลือด, ไม่สามารถดื่มน้ำได้, อ่อนเพลีย, เริ่มเป็นตะคริว, ปวดหัว, ซึม สับสน สูญเสียการรับรู้ (disorientation)
ดื่มน้ำมากเกินเสี่ยงเป็นภาวะน้ำเป็นพิษหรือภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ
ตรงกันข้ามกับภาวะขาดน้ำ การดื่มน้ำในปริมาณมากเกินทั้งก่อนวิ่ง ระหว่างวิ่ง และหลังวิ่ง รวมไปถึงในชีวิตประจำวัน เพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไป ไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพหรือควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย แต่คุณอาจเสี่ยงเป็นภาวะน้ำเป็นพิษ (Water Intoxication)หรือ ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) ซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน ส่วนมากมักพบในนักวิ่งระยะไกล เช่น มาราธอน หรืออัลตร้ามาราธอน เพราะใช้เวลาในการวิ่งนานจึงต้องระวังเป็นพิเศษ
ในการแข่งขันบอสตัน มาราธอน ปี 2003 นักวิ่งหญิงวัยกลางคนเป็นลม ล้มหมดสติ และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ซึ่งสาเหตุคือระดับเกลือโซเดียมในกระแสเลือดลดต่ำมากจนเป็นอันตราย แต่โชคดีที่ไม่ค่อยพบภาวะน้ำเป็นพิษนี้ในประเทศเมืองร้อน
โดยเหตุการณ์ที่อาจส่งผลให้เกิด ได้แก่
ต้องดื่มน้ำเท่าไรถึงจะพอดี?
การเดินทางสายกลางย่อมดีที่สุด ไม่มากเกินไปหรือไม่น้อยจนเกินไป เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย โดยควรทำเป็นประจำ สม่ำเสมอ ไม่ใช่เน้นตอนใดตอนนึงมากเกินไป
เทคนิคดื่มน้ำอย่างถูกวิธี
วิธีการดื่มน้ำอย่างถูกวิธีคือสิ่งสำคัญที่นักวิ่งหลายคนมองข้าม บางคนซ้อมวิ่งแทบไม่ได้ดื่มน้ำ บางกลั้นใจไม่แวะรับน้ำเพราะอยากทำเวลา บางคนอดและคิดว่าตัวเองไหว แต่หารู้ไม่ว่าคุณกำลังสร้างความเสี่ยงให้กับสุขภาพตัวเอง และที่เลวร้ายที่สุดคืออาจเสียชีวิตได้
สำคัญคือนักวิ่งต้องรู้ปริมาณน้ำที่ตัวเองต้องการระหว่างวิ่ง โดยแต่ละคนจะไม่เท่ากัน สามารถทดลองโดยวิ่งเบาๆ 30 นาที หากคุณเหงื่อท่วมนั่นคืออัตราการเสียเหงื่อสูง (น่าจะประมาณ 2 ลิตร/ชั่วโมง) จึงต้องเช็คให้ดีว่าดื่มน้ำเพียงพอหรือไม่ หากคุณไม่ได้วิ่งหรือซ้อมระยะไกลๆ ไม่เกิน 10กิโลเมตร หรือ 1 ชั่วโมง ก็ไม่ต้องดื่มน้ำบ่อยได้ เรามีเทคนิคดื่มน้ำสำหรับนักวิ่งมาแนะนำกัน
การกระหายน้ำเป็นอาการหนึ่งที่ร่างกายแสดงออกว่าคุณต้องรับน้ำเข้าสู่ร่างกายเพิ่มแล้วนะ หากคุณวิ่งระยะไกลๆ ต้องสังเกตอาการของตัวเองให้ดี สำหรับคนที่ชอบวิ่ง City Running ควรพกขวดน้ำที่พกพาสะดวก กระชับ เพื่อให้คุณได้จิบน้ำอย่างสม่ำเสมอ
การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่เราทำเป็นกิจวัตร จนคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ทำให้มักมองข้าม เมื่อหันมาวิ่งเพื่อดูแลสุขภาพ ควรใส่ใจการดื่มน้ำให้ได้ปริมาณเพียงพอ ไม่น้อยเกินไปหรือมากจนเกินไป หมั่นสังเกตตัวเองหากมีอาการเสี่ยง เดินทางสายกลางเพื่อที่จะได้วิ่งได้อย่างมีความสุข สุขภาพแข็งแรง
หากคุณเป็นรักในการวิ่งหรือชอบเชียร์กีฬาไทย ผมมีหนึ่งกิจกรรมดีดีที่อยากจะเชิญชวนทุกคนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งกับความสำเร็จของทีมชาติไทยในโอลิมปิกเกมส์ 2020 กับกิจกรรม “วิ่งธงชาติไทย...รวมใจสู่ชัยชนะ” ‘NATIONAL FLAG RUN’ เปิดรับสมัครแล้ว วันนี้ !! ถึง วันพุธที่ 10 มี. ค. 64 (หรือ ปิดรับสมัครทันทีเมื่อครบตามจำนวน)
ประกาศผลรับสมัคร ใน วันจันทร์ที่ 15 มี.ค. 64
1) ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับ e-mail ยืนยัน ภายในวันจันทร์ที่ 15 มี.ค. 64
2) ผู้ที่ได้รับ e-mail เรียบร้อยแล้ว จะต้องยืนยันสิทธิ์ภายในวันศุกร์ที่ 19 มี.ค. 64 หากไม่ตอบกลับตามวันเวลาที่กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์ สมัครได้ที่ : http://bit.ly/RoadToTOKYO2020
ปล.นักวิ่งที่ผ่านการคัดเลือกทุกคน จะได้รับเสื้อและเหรียญเป็นที่ระลึกด้วยนะครับ
เคล็ดลับควรรู้สำหรับนักวิ่งมือใหม่
TAG ที่เกี่ยวข้อง