20 มิถุนายน 2568
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งวิทยาศาสตร์การกีฬาและการเก็บข้อมูลที่สำคัญจากการออกกำลังกาย กำลังกลายเป็นส่วนสำคัญของวงการกีฬาโลกรวมถึงวงการวิ่ง ประเทศไทยเองก็เช่นกัน กำลังเร่งนำจุดแข็งนี้มาพัฒนาวงการ ซึ่งคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีศูนย์การเรียนรู้และวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้านการกีฬาและการออกกำลังกาย ที่มีศักยภาพในการนำวิทยาศาสตร์การกีฬามาปรับใช้ในการพัฒนานักวิ่ง
นักวิ่งยุคปัจจุบันไม่ว่ามืออาชีพ ทีมชาติ หรือนักวิ่งเพื่อสุขภาพ แทบทุกคนจะต้องมีสมาร์ตวอตช์เป็นอุปกรณ์คู่ใจ เพื่อเป็นตัวช่วยการวัดข้อมูลสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับการวิ่งของตัวเอง รวมถึงการซ้อมอื่นๆ ทั้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการเข้ายิม เป็น 1 ในเหตุผลสนับสนุนว่า วิทยาศาสตร์การกีฬา เข้ามามีส่วนกับการวิ่งมากขึ้นจนกลายเป็นส่วนสำคัญ
รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยพัฒน์ หล่อศิริรัตน์ คณบดี คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า วิทยาศาสตร์การกีฬา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อต่อยอดให้นักกีฬาสามารถเล่นกีฬาและใช้ร่างกายของตนเองได้อย่างยั่งยืน และการใช้ดาต้าเพื่อการฝึกซ้อม จะช่วยพัฒนานักกีฬาได้อย่างมาก
“Data is a King คือเรื่องจริง การเริ่มต้นใช้ดาต้าเพื่อการฝึกซ้อมตั้งแต่เนิ่นๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะการประยุกต์ใช้ข้อมูลเหล่านี้ ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ผนวกรวมกับความรู้และประสบการณ์ มองว่าการที่มีผู้ให้ความสำคัญในเรื่องของวิทยาศาสตร์การกีฬา ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อต่อยอดให้นักกีฬาสามารถเล่นกีฬาและใช้ร่างกายของตนเองได้อย่างยั่งยืน”
ดาต้าของนักวิ่งจะมีทั้ง การทดสอบ VO2Max หรือ Maximal Oxygen Consumption ที่หมายถึงค่าที่แสดงความสามารถของร่างกายในการใช้ออกซิเจนขณะออกกำลังกายหนักที่สุด ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงสมรรถภาพและความฟิตของหัวใจและปอด หากค่า VO2Max สูง ร่างกายก็จะยิ่งใช้ออกซิเจนได้มากขึ้น ทำให้มีความทนทานและประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย
ส่วน Running Analysis หรือ การวิเคราะห์ท่าทางการวิ่ง ก็จะช่วยระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของท่าวิ่งในแต่ละบุคคล และสามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงเทคนิคการวิ่งให้มีประสิทธิภาพ
อาจารย์ ดร.ทศพร ยิ้มลมัย ประธานแขนงวิชาการเสริมสร้างสมรรถนะทางการกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมว่า “การวัดค่า VO2Max สามารถทำได้หลากหลายวิธี และหนึ่งในนั้นคือการสวมใส่สมาร์ตวอตช์เพื่อติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ การออกกำลังกาย เมื่อนักกีฬารวมถึงผู้ที่ออกกำลังกายทราบค่า VO2Max จะทำให้รู้ถึงขีดความสามารถของตนเอง และสามารถนำไปใช้เพื่อการวางแผนฝึกซ้อมได้ ทำให้สามารถฝึกซ้อมได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
ส่วน Running Analysis คือ การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวระหว่างการวิ่งในรูปแบบ 3 มิติ เพื่อค้นหาขีดจำกัดและพัฒนาประสิทธิภาพในการวิ่งของนักกีฬา การวิเคราะห์นี้ช่วยระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของท่าวิ่งในแต่ละบุคคล และสามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงเทคนิคการวิ่งให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ซึ่ง GARMIN ได้เข้ามามีส่วนกับโครงการนี้ ผ่านโปรเจค “GARMIN ATHLETE PROGRAM” ที่มุ่งผลักดันแนวคิด “TRAIN SMARTER” พัฒนาจุดเด่น แก้ไขข้อบกพร่อง และสนับสนุนการสร้างนักกีฬาให้มีดีเอ็นเอ NUMBER-CRUNCHING SKILL ทักษะที่ใช้การคำนวณและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการฝึกซ้อม เป็นการนำความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งวิทยาศาสตร์การกีฬาและการเก็บข้อมูลที่สำคัญจากสมาร์ตวอตช์ของ Garmin (Collect data, track progress) ให้นักกีฬาพัฒนาตัวเองให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด
เพราะเชื่อว่าการฝึกซ้อมแบบรู้จุดเด่น และเข้าใจข้อบกพร่องของตัวเอง จะนำมาสู่ความสามารถในการดึงศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวนักกีฬาแต่ละคนออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ลดการบาดเจ็บ ได้รับการฟื้นฟูที่ดี ส่งผลให้นักกีฬาสามารถก้าวสู่วงการนักกีฬาอาชีพโดยมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์เต็มร้อย เพื่อสร้าง NUMBER CRUNCHING ATHLETES ตัวจริงอย่างเป็นรูปธรรม
นักวิ่งเลือดใหม่วงการวิ่งทางไกลไทย ทั้ง ปักเป้า-วิชยา แซ่จาง, อนุชา-อนุชิต พาดา, อินทัช จงใจจิตร, นิก-คำนวน ชัยเขียว, บอส-คณิศร หนองนา และริว-พงศ์สุชา สาธุกุลศานต์ รวมไปถึงนักวิ่งรุ่นเยาวชน ตู้ทอง-ปีติกร มูลชอบ ในฐานะ สมาชิก #GarminTeamTH ได้เข้าร่วมทดสอบ VO2Max และ Running Analysis และนำข้อมูลไปต่อยอดในการซ้อมผ่านสมาร์ตวอตช์ของ Garmin
ปักเป้า เล่าว่า การมีสมาร์ตวอตช์ที่ช่วยเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ระหว่างการวิ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากมีการทดสอบสำคัญทั้ง 2 เรื่อง จะสามารถนำข้อมูลมาต่อยอด และนำไปวางแผนการซ้อมได้ โดยรายละเอียดจะมีทั้งการปรับจุดด้อย พัฒนาจุดเด่น กำหนดเวลาซ้อม เวลาพัก ลดการบาดเจ็บ
“สำหรับนักวิ่งการมีสมาร์ตวอตช์ที่ช่วยเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ระหว่างการวิ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยทำให้เรารู้ว่าเรามีจุดเด่นและจุดด้อยตรงไหนที่จะต้องแก้ไขหรือต่อยอดให้ดีขึ้น และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการวางแผนการฝึกซ้อมและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเราได้มากที่สุด ตัวผมเองก็เป็นผู้ใช้งานสมาร์ตวอตช์ของการ์มินอยู่แล้ว และได้นำข้อมูลจากสมาร์ตวอตช์มาปรับใช้กับการซ้อมจนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจขึ้น”
ด้านอนุชา กล่าวว่า “การเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับผมเสมอครับ ผมเคยเป็นคนนึงที่ซ้อมวิ่งแบบใช้ฟีลลิ่งล้วนๆ มันไม่สามารถรู้ได้เลยจริงๆ ว่าวันนี้ผมซ้อมหนัก หรือเบาไป ผมใช้ความรู้สึกเข้ามาตัดสิน วันนี้ ผมได้เริ่มรู้จักข้อมูลของการวิ่งมากขึ้นจากการใช้สมาร์ตวอตช์ของ Garmin มันทำให้ผมรู้ว่าผมควรแบ่งเวลาพัก เวลาซ้อมอย่างไร ทุกคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ เรื่องเล็กๆ แต่มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนักกีฬา วันนี้ต้องขอบคุณการ์มินที่ทำให้ผมรู้จักดาต้าพวกนี้มากขึ้น”
ขณะที่อินทัช กล่าวว่าการฝึกซ้อมอย่างมีวินัย คือเรื่องสำคัญของนักกีฬา แต่ต้องวางแผนการซ้อมให้ดีที่สุด เหมือนกับนักกีฬาในต่างประเทศ ก็จะพัฒนาได้มากขึ้น "สำหรับผมแล้ว ถ้าเราฝึกหนัก ฝึกนาน ฝึกต่อเนื่อง แต่ไม่มีทิศทาง อาจทำให้เราเหนื่อยฟรีได้ การได้เก็บข้อมูลไปพร้อมๆ กับปรับแผนการซ้อม ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะผมเชื่อว่าร่างกายของเราบาดเจ็บแล้วมันจะคืนกลับเป็นเหมือนเดิมได้ยาก"
TAG ที่เกี่ยวข้อง