stadium

หมดไฟวิ่งทำยังไง? 13 เทคนิคปลุกแพสชั่นกลับมาวิ่งได้สนุกอีกครั้ง

14 มกราคม 2564

คำถามยอดฮิตในหมู่คนที่วิ่งซึ่งเกิดขึ้นทั้งมีสาเหตุ หรือ ไม่มีสาเหตุ ความรู้สึกว่า ไม่อยากออกไปวิ่ง ขี้เกียจวิ่ง หมดไฟ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าแค่ปรับเปลี่ยนวิธีคิดจะช่วยให้คุณรับมือกับปัญหานี้ได้ อย่างน้อยคุณก็สนุกกับการวิ่งมากกว่าที่เป็น ยิ่งตอนนี้มีปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้งานวิ่งงดจัด ยิมปิด ไปวิ่งสวนก็เสี่ยง จะให้วิ่งที่บ้านก็ไม่มีลู่วิ่งหรือสถานที่ หลายคนหยุดวิ่งไปนาน พอจะกลับมาวิ่งมันกลายเป็นเบื่อท้อแท้ ลองดู 13 แนวทางที่จะทำช่วยเติมไฟที่หมดดับไปให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง

 

เปลี่ยนสถานที่วิ่ง

การซ้อมวิ่งที่เดิม ทุกวันซ้ำๆ อาจทำให้เบื่อ ลองเปลี่ยนสถานที่วิ่ง เจอวิวใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ มันเพลิดเพลินและสร้างประสบการณ์ใหม่ได้จริงๆ เวลาไปเที่ยวลองพกรองเท้าวิ่งไปด้วย ตื่นแต่เช้าไปรับอากาศบริสุทธิ์ ก่อนถ่ายรูปเช็คอินอวดโซเชี่ยล มีแต่คนอิจฉาแน่นอน

 

ค่อยเป็นค่อยไป

การเริ่มต้นว่ายากแล้ว แต่การกลับมายากกว่า ยิ่งเมื่อเราเคยวิ่งได้ดีกว่านี้ เหนื่อยน้อยกว่านี้ พอเว้นวรคไปนานร่างกายย่อมไม่ฟิตเหมือนเดิม หากเราเร่งตัวเองจะยิ่งเพิ่มความกดดันและทำให้เครียดเปล่าๆ วิ่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้เวลาตัวเอง หลายคนฟื้นจากอาการบาดเจ็บก็รีบกลับโหมโปรแกรมซ้อม นอกจากจะวิ่งได้ดีไม่เท่าเดิม จะยิ่งทำให้อาการเจ็บเรื้อรัง สุดท้ายต้องหยุดวิ่งไปในที่สุด

 

จดสถิติไว้เตือนใจ

เมื่อก่อนเรายังไม่มีนาฬิกาและแอพพลิเคชั่นจับเวลาและระยะทางวิ่งจึงต้องอาศัยการจดเอา แต่ตอนนี้เทคโนโลยีมันก้าวล้ำไปแล้ว การบันทึกผลการวิ่งในแต่ละครั้งช่วยสร้างกำลังใจที่ดีให้กับเรา เมื่อใดที่เราท้อหรืออยากล้มเลิก ลองเอาผลสถิติวิ่งตอนแรกที่พึ่งเริ่มมาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ให้กำลังใจตัวเองว่าคุณมาไกล และเป็นตัวเองที่ดีขึ้นขนาดไหน

 

ส่องกลุ่มวิ่งไปเรื่อยๆ

ถ้าใครที่เคยเป็นสมาชิกในกรุ๊ปวิ่งต่างๆ อยู่แล้วถือว่าดี หรือถ้ายังไม่ได้เข้าร่วมควรกด join ซะ เบื่อๆ ก็ไถลฟีดเฟซบุ๊คดูเพื่อนสมาชิกโพสต์รูปและผลการวิ่ง คนนั้นวิ่งเร็วขึ้น คนนี้ไปวิ่งเทรล คนนั้นจบอัลตร้ามาราธอน การดูคนอื่นช่วยสร้างความฮึกเหิมได้ดีทีเดียว 

 

ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง

หลายคนวิ่งไปเรื่อยๆ  ไม่มีเป้าหมายอะไรที่ผลักดัน อาจทำให้เบื่อ เคว้งคว้างเหมือนขอนไม้ที่ลอยกลางน้ำ ลองตั้งเป้าที่ชัดเจนให้กับตัวเองว่า ภายในปีนี้จะทำลายสถิติใหม่ได้ จะวิ่งระยะไกลขึ้น จะวิ่งระยะเดิมแต่เวลาดีขึ้น หรือ จะรูปร่างดีขึ้น กำหนดไทม์ไลน์เพื่อชาเลนจ์ตัวเองเป็นอีกวิธีที่ช่วยได้ดี

 

 

ชวนคนใกล้ตัวมาวิ่งด้วย

วิ่งคนเดียวมันเหงา ลองชวนเพื่อนๆ คนรัก ครอบครัว มาวิ่งด้วยกัน ถือเป็นการทำกิจกรรมร่วมกันที่ดีต่อใจและร่างกาย หรืออาจลองหากลุ่มคอเดียวกัน ขอไปร่วมซ้อมหรือวิ่งกับเขา รับรองว่าคุณจะได้รับพลังบวกจากพวกเขาแน่นอน

 

หาแรงบันดาลใจใหม่ๆ

การวิ่งคือการต่อสู้กับจิตใจของตนเพื่ออดทนกับความเหนื่อย เมื่อเราหมดไฟ ลองหาแรงบันดาลใจจากคนรอบตัว ไอดอลสายวิ่ง หรือแม้แต่คนในอินเตอร์เน็ต อ่านเรื่องราวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งทั่วไปหรือนักวิ่งระดับโลก ลองฟังมุมมองของพวกเขาดู การนั่งดูคลิปงานวิ่ง เห็นนักวิ่งต่อสู้กับตัวเองคุณจะย้อนกลับมามองตัวเองและอยากออกไปวิ่งเลย

 

ให้รางวัลตัวเองบ้าง

ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา อุปกรณ์ เยอะแยะมากมายโผล่ขึ้นมาหน้าฟีดเสมอ กิเลสเริ่มเข้าครอบงำ แต่อย่าพึ่งซื้อ!! ให้ลองตั้งเป้าหมายที่อยากพิชิต เช่น อาทิตย์นี้จะต้องวิ่งให้ได้อย่างน้อย 4 วัน โดยทุกวันจะวิ่งต่อเนื่องไม่หยุด เป็นต้น แล้วซื้อของเหล่านั้นเพื่อเป็นของรางวัลตัวเอง

 

หางานวิ่งแข่ง

วิ่งวนเป็นวงกลมในสวนอาจไม่สนุก แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางนักวิ่งแปลกหน้า คุณจะมีพลังผลักดันให้วิ่งไปข้างหน้าได้แน่นอน หรืออาจเห็นคนที่กัดฟันอดทนวิ่งจนเข้าเส้นชัย ทั้งที่เวลาก็ไม่ได้ดีไปกว่าคุณ ดีไม่ดีคุณจะได้มิตรภาพใหม่จากสนามวิ่ง ทำให้คุณได้สนุกกับการวิ่งมากขึ้น แต่ตอนนี้สถานการณ์โควิด-19 ทำให้งานวิ่งเลื่อนหรือยกเลิก ลองร่วมกิจกรรม Virtual Run ส่งผลแข่งกับนักวิ่งคนอื่นๆ ก็สนุกไปอีกแบบ

 

ลองอะไรใหม่ๆ

หากวิ่งในสวน บนถนน ในเมืองมันน่าเบื่อจนไม่อยากวิ่ง ลองเข้าป่าเข้าพง ลงไตรกีฬา หาอะไรที่แปลกใหม่กับตัวเอง คุณจะตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่ และแน่นอน ได้เพื่อนใหม่เพียบ

 

 

ของมันต้องมี

ประโยคนี้ฟังเบาๆ ก็เจ็บ แต่เชื่อสิว่ามันจบ ซื้อรองเท้าซิ่งคู่ใหม่ให้ตัวเองดู มันช่วยกดดันให้คุณต้องออกไปวิ่ง ไม่ใช่อะไร ได้ของใหม่มามันก็ต้องใส่ ต้องลอง ถือซะว่าเอาไว้สลับเปลี่ยนกับคู่ที่ใส่อยู่ในปัจจุบันก็ได้ หรือจะเป็นเสื้อผ้าวิ่งสวยๆ ที่ซื้อในเนตมา จัดมาอย่างดีมันต้องไปวิ่งแล้วโพสต์รูปอวดชาวโลกสิ

 

อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใคร

ข้อนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะเมื่อเราเอาใจไปผูกกับใคร เราจะเปรียบเทียบกับเขา และยิ่งเขาวิ่งได้ดีกว่าเรา เราจะยิ่งท้อแท้และหมดกำลังใจ อย่าลืมว่ามนุษย์เราเกิดมาไม่เหมือนกัน มีความพร้อมทางศักยภาพและการเงินแตกต่างกัน ต่อให้วิ่งดีแค่ไหนย่อมมีคนวิ่งเก่งกว่าเราแน่นอน มัวแต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นก็คือการหยุดอยู่กับที่ หากเราหันมาโฟกัสในเป้าหมายที่เรากำหนดตามข้อจำกัดที่เรามี เราจะสนุกกับการวิ่งแน่นอน อย่าลืมว่าเราวิ่งเพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าวันวานก็พอ

 

เรามาไกลขนาดไหนแล้ว

วันที่ท้อเพราะวิ่งยังไงก็เจ็บ วิ่งยังไงก็ไม่ดีขึ้น เหมือนย่ำอยู่กับที่ ลองย้อนคิดถึงวันแรกที่ได้เริ่มก้าวแรกของตัวคุณเอง อาจเปรียบเทียบสถิติที่วิ่งในวันนั้นกับปัจจุบันที่ทำได้ เช่น เมื่อก่อนวิ่ง 30 นาทีก็เหนื่อยแล้ว ตอนนี้วิ่งจบฟูลมาราธอนได้ หรือ ตอนนั้นตัดสินใจวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก อยากหุ่นดี ฟิตเฟิร์ม เดินไปส่องกระจกแล้วพูดกับตัวเองว่าถ้าเราหยุดตอนนี้ ที่ทำมามันจะหายไป จะยอมกลับไปอ้วนแบบเดิมเหรอ  ลองคิดดู

 

การวิ่งคือหนึ่งในการฝึกจิต กำหนดสมาธิ คือการต่อสู้กับตัวเอง การเริ่มต้นมักยาก แต่การดำเนินมันต่อไปย่อมยากกว่า ออกค้นหาตัวเอง หาสิ่งใหม่ทำ คุณจะสนุกกับมันได้อีกแน่นอน


stadium

author

Chalinee Thirasupa

StadiumTH Content Creator / เจ้าของเพจช่างภาพมีกล้าม

โฆษณา