stadium

#Rememberthelegend

24 ธันวาคม 2562

ยอดมนุษย์สายฟ้า “ยูเซน โบลท์”

คงไม่เกินไปนักหากเราจะเรียกเขาว่า “นักวิ่งผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล”

 

ในครั้งแรกสุด ปี 2004 โบลท์ ไล่กวาดรางวัลต่างๆมากมายสำหรับการแข่งขันวิ่งในรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ทำให้เจ้าตัวเกือบจะมีชื่ออยู่ในโอลิมปิคที่เอเธนส์ที่กรีซในในปีนั้น ด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น แต่เจ้าตัวเกิดมีอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวายทำให้พลาดโอลิมปิคในครั้งนั้นไป

 

แต่หลังจากนั้นอีก 4 ปีที่กรุงปักกิ่ง โลกก็ได้รู้จักเค้าในนาม  “ยอดมนุษย์สายฟ้า”

โบลท์ได้รับรางวัลเหรียญทองในครั้งนั้นจากการวิ่ง 100 เมตร และทำสถิติโลกใหม่(ของโอลิมปิคในครั้งนั้น) ด้วยเวลาเพียง 9.69 วินาที และหลังจากนั้นคือตำนาน

 

- ปักกิ่งเกมส์ 2008 เหรียญทอง วิ่ง 100 เมตรชาย

- ปักกิ่งเกมส์ 2008 เหรียญทอง วิ่ง 200 เมตรชาย

- ลอนดอนเกมส์ 2012 เหรียญทอง วิ่ง 100 เมตรชาย

- ลอนดอนเกมส์ 2012 เหรียญทอง วิ่ง 200 เมตรชาย

- ลอนดอนเกมส์ 2012 เหรียญทอง วิ่งผลัด 4x100 เมตรชาย

- ริโอเดอจาเนโร 2016 เหรียญทอง วิ่ง 100 เมตรชาย

- ริโอเดอจาเนโร 2016 เหรียญทอง วิ่ง 200 เมตรชาย

- ริโอเดอจาเนโร 2016 เหรียญทอง วิ่งผลัด 4x100 เมตรชาย

 

ความยอดเยี่ยมของเขาทำให้เขาคือเจ้าของเหรียญทองทั้งหมด 8 เหรียญ ในโอลิมปิค จากทั้ง 3 ครั้งล่าสุดคือ ปักกิ่งเกมส์ 2008 ลอนดอนเกมส์ 2012 ริโอเกมส์ 2016

และนี้ตำนาน “นักวิ่งผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล” อย่างไม่ต้องสงสัย

 

กระสุนแห่งบัลติมอร์ “ไมเคิล เฟ็ลปส์”

ไมเคิล เฟลป์ส … ราชาฉลาม 23 เหรียญทอง

หากมีคนพูด หรือถามถึงกีฬาว่ายน้ำ ชื่อแรกที่ทุกคนคิดถึงคงหนีไม่พ้น “ไมเคิล เฟลป์ส” ฉลามหนุ่มจากบัลติมอร์ผู้นี้      

เฟลป์ส คือเจ้าของประวัติศาสตร์ผู้ได้รับเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกมากที่สุดถึง 23 เหรียญ จากโอลิมปิกทั้งสิ้น 5 ครั้ง   
 

เฟลป์ส เริ่มมีชื่อแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกคือ ปี 2000 ที่ซิดนีย์ โดยในขณะนั้นเจ้าตัวมีอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น โดยถือเป็น   นักว่ายน้ำที่อายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ซึ่งในครั้งนั้นเจ้าตัวไม่ได้รับเหรียญรางวัลใดๆ โดยเข้าป้ายเพียงอันดับ 5    สำหรับท่าผีเสื้อ 200 เมตร ซึ่งเป็นท่าที่เจ้าตัวถนัดเท่านั้น
 

แต่เรื่องราวของเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น โดยโอลิมปิก อีก 4 ครั้งหลังจากนั้น เฟลป์สสามารถคว้าเหรียญจากการแข่งขันทั้งสิ้นรวม 28 เหรียญ

โดยแบ่งเป็นเหรียญทองทั้งหมด 23 เหรียญ เหรียญเงิน 3 เหรียญ และเหรียญทองแดง 2 เหรียญ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2008 ที่กรุงปักกิ่งเฟลป์สได้ลงแข่งทั้งหมด 8 รายการ และชนะเลิศได้เหรียญทองทั้งหมด !
 

และแน่นอนด้วยความยอดเยี่ยมของเขาที่ได้รับเหรียญทองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ชื่อของเขาจะกลายเป็นตำนานของโอลิมปิกไปตลอดกาล

 

หลิน ตัน "จอมกระบี่ แห่งยุทธภพ"

หากพูดถึงใครสักคนผู้มีชื่อเสียงในกีฬาแบดมินตัน หลายๆคนคงเอ่ยชื่อ “หลินตัน” มาเป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน

ด้วยลีลาท่าทางการเล่นที่ดูเป็นธรรมชาติราวกับดูจอมยุทธกำลังร่ายรำก็ไม่ปาน

ทำให้เจ้าของเหรียญทองแบดมินตันชายเดี่ยว 2 ครั้งในปี 2008 , 2012 คือสุดยอดนักแบดมินตันของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
 

“ซุปเปอร์แดน” เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากการเอาคว้าแชมป์ Badminton World Cup โดยเอาชนะ “ซุปเปอร์แมน” บุญศักดิ์ พลสนะ ยอดนักแบตชาวไทยไปได้ ในปี 2005  และหลังจากนั้น ฝีมือของเขาก็ติดลมบนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการคว้าแชมป์ World Badminton Championships 2 สมัยติด ในปี 2006,2007  ก่อนคว้าแชมป์แบตมินตันชายเดี่ยวโอลิมปิกแรกในปี 2008 ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน รวมไปถึงสามารถป้องกันแชมป์ได้อีกครั้งในปี 2012 ณ กรุงลอนดอน ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง เป็นการเอาชนะคู่แข่งตลอดกาลของเขา “เทพลี” ลี ชอง เหว่ย ไปได้ ทั้ง 2 ครั้ง
 

ด้วยผลงานในกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่างโอลิมปิกจากทั้ง 2 ครั้ง และได้เหรียญทองทั้ง 2 ครั้ง  รวมถึงรายการชนะเลิศแบตมินตันรายการอื่นๆที่ผ่านมา และหากเราจะกล่าวถึงหลินตันว่า “สุดยอดที่สุด ในยุทธภพแบตมินตัน” ก็คงจะไม่ไกลเกินไปนัก

 

เจสซิก้า เอนนิส "ราชินีแห่งสัตตกรีฑา"

“สัตตกรีฑา คือกีฬาของหญิงผู้มีความแข็งแกร่งและอดทนเป็นอย่างสูง” ซึ่งหากมองจากภายนอกดูแล้วนั้น เจสซิก้า เอนนิส ผู้มีหน้าตาที่สละสวย ไม่น่าจะเหมาะกับกีฬาประเภทนี้นัก แต่ด้วยความสามารถของเธอบวกกับหน้าตา ทำให้เธอได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งสัตตกรีฑา”

กีฬาสัตตกรีฑา คือกีฬาประเภทผสมทั้งในประเภทลู่และลานประกอบด้วยการแข่งขันทั้งหมด 7 รายการ ทำการแข่งขัน 2 วันติด

ต่อกันตามลำดับคือ วันที่หนึ่ง :  วิ่งข้ามรั้ว 100 เมตร, กระโดดสูง, ทุ่มลูกน้ำหนัก และวิ่ง 200 เมตร

วันที่สอง :  กระโดดไกล, พุ่งแหลน และวิ่ง 800 เมตร

สำหรับผู้ชนะ คือ ผู้ที่สามารถทำคะแนนสูงสุดในการแข่งขันและ ถ้าไม่เข้าแข่งขันหรือไม่ทำการประลองแม้แต่ครั้งเดียวให้ถือว่าเลิกการแข่งขัน
 

จุดเริ่มต้นของ เจ้าของ 1 เหรียญทอง และ 1 เหรียญเงินจากโอลิมปิกทั้ง 2 ครั้ง “เจสซิก้า เอนนิส” เริ่มขึ้นในปี 2005 ซึ่งเธอสามารถคว้าแชมป์ European Athletics ในรุ่นอายุเกิน 20 ปีได้

ทำให้เธอเริ่มมีชื่อเสียงขึ้น บวกกับหน้าตาที่สวยของเธอทำให้สปอตไลท์จับจ้องลงมาที่เธอเป็นพิเศษ แล้วด้วยการที่เธอถูกตั้ง ความหวังเป็นอย่างมากทำให้เธอโหมซ้อมอย่างหนักจนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจนพลาดโอลิมปิกในปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก้ไม่ยอมแพ้ เธอกลับมาซ้อมใหม่จนคว้าแชมป์ World Athletics Indoor Championships ไปได้ในปี 2010

นั้นทำให้เธอพร้อมสู้ สำหรับโอลิมปิกในปี 2012 ซึ่งจัดขึ้น ณ บ้านเกิดของเธอ และเธอก็ไม่ทำให้คนในชาติผิดหวัง ด้วยการคว้าแชมป์โอลิมปิกในปีนั้นมาครองได้

หลังจากที่เธอได้เหรียญทองโอลิมปิกในปี 2012 แล้วนั้น “เอนนิส” ก็ได้หยุดพักจากการแข่งขันไปแต่งงานและมีครอบครัว ก่อนกลับมาเริ่มซ้อมอีกครั้งเพื่อจะมาป้องกันแชมป์โอลิมปิกในปี 2016 ซึ่งโอลิมปิกในครั้งนั้นเธอไม่สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้ แต่ก็ยังสามารถได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 (ได้เหรียญเงิน) และนี่คือรายการสุดท้ายของเธอ “ราชินีแห่งสัตตกรีฑา”

 

เอลิอุด คิปโชเก้  "ชายผู้เอาชนะทุกขีดกำจัด"

“ทำได้ ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ” นี่คือสิ่งที่ชายผู้ที่ทำลายสถิติโลกของการวิ่งมาราธอนแสดงออกมาโดยคำพูดหาใช่การกระทำ

เอลิอุด คิปโชเก้ คือชาวเคนย่าแต่กำเนิด โดยตอนเด็กๆ เขาไปโรงเรียนโดยอาศัยการวิ่งไปและกลับเอา โดยใช้ระยะทางไปขาละ 3.2 กิโลเมตร เท่ากับว่าเขาจะต้องวิ่งไปกลับโรงเรียนวันละ 6.4 กิโลเมตร

 

หลังจากจบการศึกษา “แพทริค แซง” อดีตนักวิ่งทีมชาติเคนย่า ได้เห็นแววในตัวของคิปโซเก้ ก่อนหมายมั่นปั้นมือจะทำให้เขากลายเป็นนักวิ่งมาราธอนระดับโลกให้จงได้

โดย คิปโซเก้ เริ่มมีชื่อเสียงจากการแข่งขัน World Athletics Championships โดยในตอนนั้นเขาลงแข่งขันในระยะทาง 5,000 เมตร ก่อนคว้าแชมป์ไปครอง ก่อนจะต่อยอดลงแข่งขันโอลิมปิกครั้งแรกในปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์ประเทศกรีซและ คว้ารางวัลอันดับ 3 ไปครองได้ซึ่งนั้นคือโอลิมปิกครั้งแรกของเขา ก่อนที่ครั้งต่อมาในปี 2008 ณ กรุงปักกิ่งเขาสามารถคว้าเหรียญเงินมาครองได้

 

ในครั้งต่อมาที่กรุงลอนดอน คิปโซเก้นั้นไม่ได้เขาร่วมเนื่องจากฟอร์มการวิ่งของเขาตกลง ทำให้เขาพัฒนาการฝึกซ้อมโดยละเอียดและหนักมากยิ่งขึ้นทำให้ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาเขาได้แชมป์ World Marathon Majors ในทุกสนามที่เขาลงแข่ง จำนวน 8 รายการ รวมถึงคว้าแชมป์โอลิมปิกในปี 2016 ที่กรุงริโอเดจาเนโรอีกด้วย

และล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ต.ค.62 ที่ผ่านมา “คิปโซเก้” ได้เอาชนะขีดจำกัดของมนุษย์ด้วยการวิ่งมาราธอนด้วยเวลาที่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ด้วยเวลา 1 ชม.59 นาที และ 40 วินาที ซึ่งขาดอีก 20 วินาที จะถึง 2 ชั่วโมง จนนับเป็นความสำเร็จที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่คิปโชเก้และทีมงานเป็นอย่างยิ่ง

 

ซึ่งไม่แน่ในโอลิมปิกปี 2020 ที่กรุงโตเกียวในปีหน้านี้ “ชายผู้เอาชนะทุกขีดกำจัด" คนนี้ อาจกลับไปป้องกันแชมป์โอลิมปิกก็เป็นได้

 

เซเรน่า วิลเลี่ยมส์  "แร็กเก็ต ทองคำ"

หากจะถามหาความยิ่งใหญ่ของ “นักหวดลูกสักกหลาดสาว” ในโลกนี้คงไม่มีใครยิ่งใญ่ไปกว่าเธอ “เซเรน่า วิลเลี่ยมส์”

เซเรน่า วิลเลี่ยมส์เริ่มเล่นเทนนิสตั้งแต่อายุเพียง 4 ปี เท่านั้น โดยมีพ่อของเธอรับหน้าที่เป็นโค้ช

 

“เซเรน่า” เริ่มแจ้งเกิดจากการคว้าแชมป์ Us Open และ French Open ในปีเดียวกันคือปี 1999 ซึ่งขณะนั้นเธอมีอายุเพียง 18  ปีเท่านั้น

หลังจากนั้นเธอก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งยวดโดยการคว้าแชมป์รายการแกรนด์แสลมครบ 4 รายการ ในช่วงปี 2002 – 2003   

สำหรับในกีฬาโอลิมปิกนั้น เธอสามารถคว้ามแชมป์โอลิมปิกแรก ร่วมกันกับน้องสาวของเธอ “วีนัส วิลเลี่ยมส์” ในปี 2000 ที่ซิดนีย์ โดยครั้งนั้นเธอและน้องสาวร่วมแข่งขันในรายการประเภทหญิงคู่ก่อนคว้าเหรียญทองไปได้

 

ขณะเดียวกันในปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ทั้ง 2 พี่น้องยังคงความสุดยอดเอาไว้ด้วยการคว้าแชมป์ประเภทหญิงคู่ไปได้อีกครั้ง

และในปี 2012 ที่ลอนดอนส์ “เซเรน่า” ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ในกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติด้วยการคว้าแชมป์ทั้งในประเภทหญิงเดี่ยวและหญิงคู่ ซึ่งทำให้เธอได้รับเหรียญรางวัลจากโอลิมปิกจำนวนทั้งสิ้น 4 เหรียญทองด้วยกัน

 

ต่อมาในปี 2016 ก็เกิดเหตุช๊อคโลกขึ้นเมื่อพี่น้อง “วิลเลี่ยมส์” ตกรอบแรกของการแข่งขันโอลิมปิก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เพิ่งได้แชมป์จากรายการแกรนด์แสลมอย่าง วิมเบิลดันมา

ถึงแม้ในโอลิมปิกครั้งล่าสุดคู่พี่น้องวิลเลี่ยมส์จะตกรอบแรกมา แต่ไม่แน่ในปีหน้าที่โตเกียว คู่พี่น้องวิลเลี่ยมส์อาจกลับมาเขย่าวงการวงการลูกสักหลาดอีกก็ได้

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง


stadium

author

StadiumTh Team Content

StadiumTH Content Creator

stadium olympic