22 พฤษภาคม 2567
การเตรียมขึ้นสังเวียนชิงแชมป์โลกรุ่นสตอร์เวท สภามวยโลกที่ว่างอยู่ กับฮิโรกิ อิโอกะ ของ ใหม่ ธนบุรีฟาร์ม แม้จะไม่ประสบความสำเร็จแต่ก็เป็นแรงกระเพื่อมให้ในอีก 17 ปีต่อมา ทัพนักกีฬาไทยที่คว้าเหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ 2004 ชื่อ “วรพจน์ เพชรขุ้ม”
วรพจน์ เพชรขุ้ม เกิด 18 พฤษภาคม 2524 เป็นชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นบุตรของนายทวีป และนาง บุญสงค์ เป็นลุกคนที่ 5 จากจำนวน 7 คน เริ่มเข้าสู่วงการหมัดมวยตั้งแต่อายุ 9 ขวบ หลังเห็นพี่ชายไปฝึกซ้อมมวยกับ “ลุง” ซึ่งก็คือใหม่ ธนบุรี ฟาร์ม แล้วทำให้เจ้าตัวเกิดอยากชกมวยขึ้นมาและเริ่มหัวหน้าเข้าสู่เส้นทางนี้อย่างจริงจัง ฝึกซ้อมได้เพียง 4 เดือนเศษก็ขึ้นเวทีขึ้นชกมวยไทยเป็นครั้งแรกในงานวันพ่อ "5 ธันวามหาราช" หน้าอำเภอพนม และเอาชนะได้ รางวัลเป็นผ้าขนหนู 1 ผืน
จากนั้น วรพจน์ ในชื่อมวยไทย “ก้องพิทักษ์ เกียรติประสงค์”ตระเวนชกอีก 65 ไฟต์ เป็นมวยดังจาก ภาคใต้ มีชื่อเสนอเตรียมชกในเวทีมาตรฐานในกรุงเทพ ทั้งลุมพินีและ ราชดำเนิน แต่เจ้าตัวติดรายงานตัวที่โรงเรียนกีฬาอุบลราชธานีเสียก่อน ทำให้ต้องทิ้งโอกาสนั้นไปและยังต้องทิ้ง “มวยไทย” เด็ดขาด เพราะการเข้าเรียนนั้นต้องเดินสาย “มวยสากลสมัครเล่น” โดยมีไร แมน บุญถม เป็นโค้ชคอยขัดเกลาเชิงมวยเสื้อกล้ามให้ วรพจน์ ฉายแววขึ้นเรื่อยๆ คว้าแชมป์คัดตัวจังหวัดอุบลราชธานี เดินหน้าต่อไปคว้าเหรียญทองกีฬาเยาวชนแห่งชาติที่ยะลา พักไม่กี่วันไปคว้าแชมป์มวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์ประเทศไทยที่นครสวรรค์อีก
3 วันถัดมา วรพจน์ ถูกเรียกตัวเข้าแคมป์ทีมชาติไทยอย่างรวดเร็ว และในยุคที่พลเอกสำเภา ชูศรี เป็นนายกสมาคมฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างเยาวชน ส่งแข่งขันต่างประเทศจำนวนมาก ยิ่งทำให้ วรพจน์ พัฒนาอย่างรวดเร็วประเดิมผลงานในเวทีนานาชาติด้วยการคว้าเหรียญเงินมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์เยาวชนโลกที่ไต้หวัน แต่เส้นทางในการเลื่อนไปสู่ชุดใหญ่นั้นยากลำบากเพราะในพิกัดฟลายเวต มี “สมจิตร จงจอหอ” ขวางทาง ทำให้หนุ่มปักษ์ใต้เลือกขยับไปแบนตั้มเวต และยังทำได้ดี วรพจน์ มีสถิติซีเกมส์ 5 สมัย 5 เหรียญทอง เอเชียนเกมส์ 3 สมัย มี 2 เหรียญทอง 1 เหรียญทองแดงและแมตช์ใหญ่ที่ทำให้คนทั้งประเทศจดจำ วรพจน์ คงหนีไม่พ้นโอลิมปิกเกมส์ 2004 ที่เอเธนส์
ในรอบคัดเลือก 2 เลกแรก โชติพัฒน์ วงศ์ประเทศ มวยรุ่นพี่ได้ไปทั้งสองครั้ง แต่พอเลก 3 สภาพร่างกายของ โชติพัฒน์ ที่ลดน้ำหนักต่อเนื่องไม่ไหวแล้ว ทำให้พลเอกทวีป จันทรโรจน์ นายกสมาคมในเวลานั้นต้องตัดสินใจเสี่ยงเอา วรพจน์ ดาวรุ่งไปชกเลก 3 ที่ปากีสถาน ม้านอกสายตาอย่าง วรพจน์ วิ่งฉิวคว้าโควตาด้วยการคว้าเหรียญทองไป โอลิมปิกเกมส์ เสียอย่างนั้น
ช่วงเวลานั้นมวยดังอย่าง สมรักษ์ คำสิงห์, สมจิตร จงจอหอ ตกรอบไปแล้วเหลือแค่รุ่นใหม่ หนึ่งในนั้น คือ วรพจน์ ที่แทบไม่มีความกดดันใด ๆ เลย วรพจน์ ฝ่าด่านไปเรื่อย ๆ ได้บายรอบแรก รอบสอง หรือ 16 คน เอาชนะ คาวาซี คัตซิกอฟ จาก บัลแกเรีย 33-18 รอบ 8 คน ชนะ เนสเตอร์ โบลัม จากไนจีเรีย 29-14 รอบตัดเชือกชนะ อากายี มัมมาดอฟ จากอาเซอร์ไบจัน 27-19 รอบชิง เจอกับ คิวบา ที่เวลานั้นแรงสุดๆ ก่อนพ่าย กิลแยร์โม่ ริกอนโดซ์ ออร์ติส 13-22 คว้าเหรียญ เงินมาครอง ส่วนคิวบาปีนั้นคว้าไป 5 จาก 11 เหรียญทอง
หลังประสบความสำเร็จที่เอเธนส์ วรพจน์ เลือกใช้เงินอัดฉีดอย่างระมัดระวังเขาเอาเงินไปซื้อที่ดินทำสวนยางและซื้อที่ดินทำรีสอร์ตเป็นธุรกิจส่วนตัวที่บ้านเกิด และสิ่งที่ วรพจน์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในวันที่เขากลับถึงเมืองไทยและเสียงดังมากพอ วรพจน์ ไม่ได้ขอให้ตัวเอง แต่ขอให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลถนนในบ้านเกิด เพราะทางเข้าบ้านคลองสกนั้นไม่สามารถเดินทางได้เลยในหน้าฝนและชาวบ้านเกษตรกรลำบากมากเนื่องจากไม่สามารถขนส่งสินค้าทางการเกษตรได้ นั่นทำให้ทางจังหวัดจัดส่งงบประมาณลงไปช่วยสร้างสะพานแทบจะในทันที
วรพจน์ ยังคงชกทีมชาติต่อไปแต่โอลิมปิกอีก 2 ครั้งต่อมา วรพจน์ ไม่ประสบความสำเร็จนัก ปักกิ่ง 2008 ตกรอบ 8 คนสุดท้าย และ ลอนดอน. 2012 ไม่ผ่านรอบควอลิฟาย จึงตัดสินใจแขวนนวม และชกมวยใน แขนงอื่นบ้าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนักและนอกจากธุรกิจที่สร้างไว้ วรพจน์ ยังทำธุรกิจเกี่ยวกับ เอเยนต์ในการส่งนักเรียนไปเรียนที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ร่วมกับ ภรรยา ไม่ว่าจะเป็นการประสานงานด้านการศึกษา หรือ งานพาร์ตไทม์ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนด้วย
TAG ที่เกี่ยวข้อง