9 พฤษภาคม 2567
ก่อนโอลิมปิกครั้งแรกของศตวรรษใหม่ "ซิดนีย์ 2000" แทบไม่มีใครรู้จัก "อิคคิวซัง" วิจารณ์ พลฤทธิ์ มากสักเท่าไร แม้เขาจะเคยคว้าเหรียญทองในซีเกมส์ ครั้งที่ 20 ที่บรูไน มาแล้ว แถมนักชกหนุ่มจากศรีสัชนาลัยยังไปโอลิมปิกในฐานะมวยแทนอีกต่างหาก
วิจารณ์ แทบจะหายเข้ากลีบเมฆไปเลยหลังกระแสโอลิมปิกเกมส์เริ่มซาลง ย้อนหลังไปตั้งแต่ต้น “วิจารณ์ พลฤทธิ์” เกิดเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2519 ที่ต.บ้านตึก อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย เป็นลูกคนที่ 3 จากทั้งหมด 4 คนของพ่อจิ้มและแม่ทองม้วน พลฤทธิ์ ทางบ้านฐานะปานกลางไม่ถึงขั้นปากกัดตีนถีบ พ่อจิ้มทำงานเป็นควาญช้างลากซุง ซึ่งความชื่นชอบกีฬาหมัดมวยและพยายามฝังดีเอ็นเอนักมวยให้ลูกชายทุกคน
บรรจง พลฤทธิ์ พี่ชายเป็นหัวขบวนนักมวยของบ้านนี้ บรรจง มีฉายาว่า คมเคียวเล็ก ศิษย์ครูงาน ตั้งชื่อตามครูงานผู้ประสิทธิประสาทวิชา ก่อนที่ วิจารณ์ จะเดินตามรอยในเวลาไม่ห่างกันนัก แรกเริ่ม วิจารณ์ ไม่ได้อยากเป็นนักมวย อยากไปเตะฟุตบอลกับเพื่อน แต่เห็นพี่ชายชกแพ้ แล้วมันคันไม้คันมืออยากขึ้นไปชกเองให้รู้แล้วรู้รอด จนได้ขึ้นสังเวียนครั้งแรกในงานวัดตอน ป. 4 ประกบคู่กับ คู่ชกรุ่นพี่ ป.5 อีกโรงเรียน ที่มีประสบการณ์การชกมากกว่า วิจารณ์ไล่ชกเอาชนะคู่ชกได้เงินรางวัลมา 50 บาท
เจ้าตัวเล่าว่า เงินก้อนแรกนั้นเก็บไว้เองและเอาไปซื้อขนมและโอวัลตินกินในงานวัด การฝึกซ้อมในต่างจังหวัดก็ซ้อมไปแบบตามมีตามเกิด แต่ไปหาประสบการณ์จริงบนเวที วิจารณ์ เดินสายชกมวยสลากภัตรกว่า 40 ไฟต์ จนจบม. 3 ก็เข้ามากรุงเทพมาอยู่กับค่ายยุทธภูมิค่ายดังในเวลานั้นตามรอย บรรจง พี่ชายเหมือนเดิม
กระดูกมวยของ วิจารณ์ อยู่ในเกณฑ์พร้อมประกาศศักดาในเมืองหลวง แต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียน เพราะฝึกซ้อมในช่วงเช้าแล้วไปเรียนภาคค่ำจนถึง 4 ทุ่มแล้วจึงเข้านอน แล้วตื่นมาซ้อมวนไปแบบนี้อยู่นาน 2 เดือนในกรุงเทพ วิจารณ์ ถูกส่งขึ้นชกที่ลุมพินีอย่างรวดเร็วและเอาชนะตั้งแต่ไฟต์แรกแบบไม่มีอาการตื่นเวที เพราะเคยดูพี่ชายชกหลายไฟต์ คุ้นชินกับบรรยากาศในสนามมวยจนคว้าแชมป์ราชดำเนิน 115 ปอนด์ (จูเนียร์ แบนตัมเวต) ค่าตัวขยับจาก 3,500 บาท จนได้แชมป์ไปถึง 80,000 บาท ชกมวยไทยได้ 5 ไฟต์ ก็เจอจุดเปลี่ยนในชีวิต เมื่อไฉน ผ่องสุภา ประกาศยุบค่ายแล้วโอนสิทธิ์ให้กับผู้การเสวก ปิ่นสินชัย ซึ่งตรงกับที่ ผู้การเสวกพยายามหามวยมาเป็นนักกีฬาของตำรวจ ทำให้ได้โอกาสไป แข่งขันชิงแชมป์ประเทศไทย แล้วก็เข้าตาโค้ชทีมชาติ
ความแกร่งจากมวยไทยทำให้ วิจารณ์ ไปได้สวยกับมวยสากลสมัครเล่น เพราะมองว่าเป็นนักมวยความเร็วสูงเก็บเกี่ยววิชาจากรุ่นพี่ในทีมชาติ แถมบุญพาวาสนาส่ง ซีเกมส์ ครั้งที่ 20 โปรแกรมตรงกับมวยสากลสมัครเล่นชิงแชมป์โลก ทำให้สมาคมต้องแบ่งนักมวยเป็น 2 ชุด ชุดเอ ไปต่อยชิงแชมป์โลกที่สหรัฐอเมริกา ส่วน ชุดบี ลงซีเกมส์ ซึ่งขาดนักชกในรุ่น 54 กก. ทำให้ต้องดึง วิจารณ์ จากทีมซี ในรุ่น 51 กก. มาชกแทน ไฟกำลังแรงพอๆกับฟอร์มการชก ทำให้คว้าเหรียญทองได้ไม่ยาก แต่พอกลับมาก็ยังไม่ได้โอกาสถาวร วิจารณ์ ต้องอยู่ในทีมซีเหมือนเดิม การชิงโควตาโอลิมปิกเกมส์ 2000 เลกแรก สมจิตร จงจอหอ ซึ่งยึดตำแหน่งในทีมชุด เอ เกิดฟอร์มไม่นิ่ง เลก 2 ประมวลศักดิ์ โพธิ์สุวรรณ์ รุ่นพี่อีกคนขอแขวนนวมไปเสียก่อน ทำให้โอกาสตกมาถึง วิจารณ์ และเขาคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ ด้วยการไปคัดเลือกได้โควตาโอลิมปิกเกมส์มา
“มวยแทน” อย่าง วิจารณ์ ไม่มีใครมองว่าเขาเป็นตัวเต็งที่จะคว้าเหรียญใดๆก็ตามจากโอลิมปิกเกมส์ ที่ซิดนีย์ มีเพียงเสียงเดียวคือ ขาวผ่อง สิทธิชูชัย ที่มองว่า ไอ้หนูอิคคิวซัง เป็นม้ามืดของรายการนี้ ผลการจับฉลากรุ่นฟลายเวต 51 กก. ยิ่งทำให้คนทั้งประเทศมองว่า “ขาวผ่อง” คิดผิด แต่เอาเข้าจริง วิจารณ์ กลับหักปากกาเซียน เอาชนะคะแนน วาร์ดัน ซาการ์ยัน (เยอรมนี) 18-2 ในรอบแรก รอบต่อมา ชนะคะแนน แอนดรูว์ คูเนอร์ (แคนาดา) 11-7/ รอบสาม ชนะคะแนน มานูเอล มันติญ่า แชมป์โลกจากคิวบา 19-8 รอบตัดเชือก ชนะวลาดิเมียร์ ไซโดเรนโก้ (ยูเครน) 14-11 รอบชิงชนะเลิศ ชนะคะแนน บูรัต ยูมาดิลอฟ (คาซัคสถาน) เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ แอตแลนตา 19-12 คว้าเหรียญทองตามรอย สมรักษ์ คำสิงห์ ซึ่งการต้อนรับวิจารณ์ พลฤทธิ์ กลับสู่มาตุภูมินั้นยิ่งใหญ่ไม่แพ้ สมรักษ์ เมื่อ 4 ปีก่อน
แต่ชีวิตของ วิจารณ์ เจ้าของเหรียญทองคนที่ 2 แตกต่างจาก สมรักษ์ เจ้าของเหรียญทองคนแรกอย่างสิ้นเชิง วิจารณ์ ได้รับโอกาสในวงการบันเทิงในเรื่อง “สมิงบ้านไร่” ทางช่อง 7 เหมือนเดิม แต่ดูจะไม่ใช่ทางของเขาแม้แต่น้อย
วิจารณ์ ในวัยแค่ 24 ปี กลับสู่วงการกำปั้นอีกครั้ง แต่ความตั้งใจแตกต่างจากสมจิตร จงจอหอ ที่กำลังมุ่งมั่นเพื่อโอลิมปิกเกมส์ในครั้งต่อๆไป ประกอบกับร่างกายเริ่มถดถอยและค่อย ๆ ปลีกตัวออกจากแสงสปอตไลต์ เข้ารับราชการตำรวจรวมทั้งทำธุรกิจผ้าไหม แต่เมื่อทำเรื่องย้ายกลับบ้านได้ก็เซ้งกิจการปัจจุบัน วิจารณ์ รั้งยศพันตำรวจโท ตำแหน่งสารวัตร อำนวยการ สถานีภูธรเมืองอุตรดิต ทำไร่ส้มที่จ.สุโขทัยบ้านเกิด และเป็นผู้ฝึกสอนมวยสากลให้กับทีมหญิงซึ่งจะลุยโอลิมปิกเกมส์ 2024 ในปีนี้อีกด้วย
TAG ที่เกี่ยวข้อง