22 มกราคม 2563
เมื่อพูดถึงทีมกรีฑาไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตร ทั้งชายและหญิง คืออีเวนต์ที่สร้างความสำเร็จให้กับวงการลมกรดไทยมาอย่างต่อเนื่อง จนคว้าเหรียญทองซีเกมส์แทบทุกครั้ง และมีบางครั้ง สามารถผงาดก้าวขึ้นไปสู่การคว้าแชมป์เอเชีย และเหรียญทองเอเชียนเกมส์มาแล้ว แม้ในช่วงหลังๆ จะมีหลายชาติในเอเชียที่ทำผลงานดีกว่า ทว่าทีมไต้ฝุ่นไทย ยังคงยอดเยี่ยมเสมอ เมื่อเทียบกับทุกชาติในอาเซียน จากการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพเมื่อปลายปีก่อน
หากพูดถึงช่วงที่พีคที่สุด ของทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรชายไทย ต้องย้อนกลับไปเมื่อช่วง 10-20 ปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้น ทีมไต้ฝุ่นไทย อยู่ในระดับแถวหน้าของเอเชียอย่างแท้จริง จากผลงานการคว้าเหรียญทองชิงแชมป์เอเชีย 3 สมัย รวมไปถึงการคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2 สมัยอีกครั้ง
มาถึงตรงนี้ แฟนกีฬาหลายท่าน คงจะนึกถึงนักวิ่งชื่อดังในยุคนั้นหลายคน ซึ่งนำโดย เหรียญชัย สีหะวงษ์, วิษณุ โสภานิช, เอกชัย จันทนะ และคนอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งรวมไปถึง “โจ๊ก” สิทธิชัย สุวรประทีป หนึ่งในตำนานวิ่งผลัด 4X100 เมตรแห่งแดนสยาม ผู้ที่ได้การยกย่องว่า คือหนึ่งในไม้ 4 ที่ดีที่สุดตลอดกาล ของทีมไต้ฝุ่นไทย
ตลอดเวลา 12 ปีในการเป็นนักวิ่งทีมชาติ นาวาตรีสิทธิชัย สุวรประทีป ที่ปัจจุบันอายุ 39 ปี สร้างความสำเร็จให้กับทีมกรีฑาไทยมากมาย ทั้งการพาทีมผลัด 4X100 เมตรหนุ่มไทย คว้าเหรียญทองชิงแชมป์เอเชีย 3 สมัย ในปี 2543, 2545 และ 2550 รวมถึงคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์อีก 2 สมัย ในปี 2545 และ 2549
นอกจากนี้ยังคว้าเหรียญทองซีเกมส์อีก 5 ครั้ง และยังสามารถทำเวลาผ่านการคัดเลือกเข้าไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์อีก 2 สมัย ในปี 2543 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย และปี 2551 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน พร้อมกันนี้ ตลอดการเป็นนักกรีฑา ลมกรดหนุ่มจากจังหวัดสมุทรปราการ ยังพาทีมไต้ฝุ่นไทย ทำลายสถิติเอเชีย และสถิติประเทศไทย หลายต่อหลายครั้งอีกด้วย
ปฐมบทสู่การเป็นตำนานลดกรดไทย
แม้จะประสบความสำเร็จบนผืนลู่ยางสังเคราะห์จนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ใครจะรู้บ้าง ตำนานนักวิ่งระยะสั้นไทยคนนี้ ไม่ได้เป็นนักกรีฑามาตั้งแต่แรก แต่เขาได้เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลมาก่อน และมีดีกรีเป็นถึงตัวเขต ที่เคยลงแข่งขันแข่งขันกีฬาแห่งชาติมาแล้ว
ทว่าเมื่อศึกษาอยู่ชั้น ม.5 ที่โรงเรียนสมุทรปราการ ชีวิตต้องมาเจอจุดเปลี่ยน เมื่อเพื่อนที่เป็นนักกรีฑา มาชวนให้ไปช่วยแข่งวิ่ง ในการแข่งขันกรีฑากองทัพอากาศ เนื่องจากในทีมขาดนักวิ่งพอดี ก่อนที่ สิทธิชัย จะฉายแววกับการเป็นนักวิ่งระยะสั้น ด้วยการคว้าไปได้ทั้งสิ้น 4 เหรียญทอง นับเป็นผลงานที่น่ามหัศจรรย์มาก สำหรับคนที่ไม่เคยคิดจะเป็นนักกรีฑามาก่อน และนั่นคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ชีวิตของเขา เปลี่ยนเส้นทางจากการเป็นนักวอลเลย์บอล แล้วมาเอาดีกับการเป็นนักนักกรีฑาแบบเต็มตัว
ด้วยความสามารถที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผลงานของการวิ่งของ สิทธิชัย สุวรประทีป ไปเข้าตาสต๊าฟโค้ชกรีฑาทีมชาติไทย จึงถูกเรียกตัวติดทีมชาติเมื่อปี 2541 ด้วยวัยเพียง 18 ปี
พัฒนาการแบบก้าวกระโดด 1 ปี จากดาวรุ่งก้าวมาเป็นตัวหลักทีมชาติ
ในปีแรกที่ติดทีมชาติ “หนุ่มโจ๊ก” ในวัย 18 ปี ที่อายุน้อยที่สุด ในบรรดานักวิ่งระยะสั้นทีมชาติไทย ณ เวลานั้น ต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อพัฒนาให้ทันรุ่นพี่ จนกระทั่งในปี 2542 เขายกระดับความสามารถของตัวเอง จนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรชายไทยได้อย่างรวดเร็ว หลังจากเพิ่งเข้าสู่แคมป์ทีมชาติได้เพียงปีเดียวเท่านั้น นับเป็นหนึ่งในนักวิ่งไม่กี่คน ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมไต้ฝุ่นไทย ในระยะเวลาแค่ 1 ปี
จากการที่เจ้าตัวเป็นคนที่มีรูปร่างสูงยาว จึงเหมาะกับการวิ่งในตำแหน่งไม้ 2 หรือไม้ 4 ซึ่งเป็นทางตรง มากกว่าที่จะวิ่งไม้ 1 กับไม้ 3 ที่เป็นทางโค้ง ทว่าไม้ 2 มี วิษณุ โสภานิช วิ่งในตำแหน่งนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทีมผู้ฝึกสอนกรีฑาทีมชาติไทย ที่นำโดย “โค้ชแฝดเล็ก” พล.ต.ต.ศุภวณัฎฐ์ อาริยะมงคล จับ สิทธิชัย ที่เป็นน้องเล็กที่สุดของทีม มาวิ่งไม้ 4 หรือไม้สุดท้าย แล้วขยับให้ เหรียญชัย สีหะวงษ์ เจ้าของสถิติประเทศไทยในการวิ่ง 100 เมตร ที่เดิมทีวิ่งในตำแหน่งไม้สุดท้าย มาอยู่ในตำแหน่งไม้ที่ 1 เนื่องจาก เหรียญชัย สามารถวิ่งได้ดีทุกผลัด
นับว่ามีไม่กี่คน ที่เป็นน้องเล็กที่สุดของทีม จะได้รับความไว้วางใจให้ลงวิ่งในไม้สุดท้าย ซึ่ง สิทธิชัย ได้กล่าวว่า ยังจำบรรยากาศการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 20 ที่ประเทศบรูไน เมื่อปี 2542 ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นกดดันและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นซีเกมส์ครั้งแรกในชีวิตแล้ว และต้องทำหน้าที่วิ่งในไม้สุดท้ายอีกด้วย
แม้จะซ้อมมาดีแค่ไหน แต่ในตอนนั้นบรรยากาศมันทำให้เกร็ง คิดมาก และตื่นเต้น จนกดดันตัวเอง แต่สุดท้าย ก็เอาชนะใจตัวเอง ด้วยการพาทีมไต้ฝุ่นไทย คว้าเหรียญทองมาได้ นับเป็นการปลดล็อคครั้งสำคัญในชีวิต ก่อนจะยึดตำแหน่งไม้สุดท้าย ในทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรชายมาตลอดจนเลิกเล่น หลังจบเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 16 เมื่อปี 2553 ที่นครกวางโจว ประเทศจีน
วิษณุ โสภานิช เป็นไอดอลทั้งในและนอกสนาม
ตลอดการเป็นนักกรีฑาทีมชาติไทย สิทธิชัย สุวรประทีป ขยันซ้อมอย่างหนักมาโดยตลอด เพราะเห็นตัวอย่างที่ดีจาก “พี่ใหญ่” วิษณุ โสภานิช นักกรีฑารุ่นพี่ ที่มีความรับผิดชอบสูง ขยันซ้อมเป็นประจำ พร้อมกับให้คำแนะนำเป็นอย่างดี แก่นักกรีฑารุ่นน้องทุกคน
นอกจากจะขยันซ้อมในสนามแล้ว วิษณุ โสภานิช ยังเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ประพฤติปฏิบัติตัวน่าเคารพนับถือ และพอขึ้นมาเป็นโค้ช ก็ยังเป็นผุ้ฝึกสอนที่ดีแก่นักกรีฑาทีมชาติทุกคนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นักวิ่งจากเมืองปากน้ำ ยึดถือแบบอย่างที่ดีจากรุ่นพี่คนนี้มาโดยตลอด
ไม่มีคำว่าท้อในหัวใจ
น.ต.สิทธิชัย สุวรประทีป ที่ปัจจุบันรับราชการทหารเรือ ได้กล่าวถึงช่วงเวลา 12 ปี บนเส้นทางการเป็นนักกรีฑาทีมชาติว่า ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย โดยที่หนักสุดมี 2 เหตุการณ์ด้วยกัน ประกอบด้วย การเผชิญกับอาการบาดเจ็บจนต้องพักนานถึง 6 เดือน และการโดนลงโทษแบนจากแคมป์ทีมชาติ จนถูกห้ามแข่งอีก 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะพบกับอุปสรรคที่ยากเพียงใด แต่เจ้าตัวไม่เคยมีคำว่าท้ออยู่ในหัวใจ ช่วงที่เจ็บ 6 เดือน ก็ตั้งใจซ้อมจนฟื้นฟูร่างกายกลับมาวิ่งได้เร็วเหมือนเดิม ส่วนในช่วงที่โดนแบน 1 ปี ก็ไม่เคยคิดเลิกเล่น แต่กลับฟิตซ้อมอย่างต่อเนื่อง จนสามารถทวงตำแหน่งไม้สุดท้ายของทีมไต้ฝุ่นไทย กลับคืนมาอีกครั้ง
เมื่อมีโอกาส ตำนานนักวิ่งแห่งเมืองปากน้ำ จะแนะนำและย้ำเตือนนักกรีฑาทีมชาติรุ่นน้องเสมอว่า ต้องอย่ายอมแพ้อุปสรรคต่าง ด้วยคติเตือนใจ 2 ประโยคก็คือ “คราวแพ้อย่าลดละ คราวชนะอย่าลำพอง” และ “อย่ารังเกียจความพ่ายแพ้ เป็นมันเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จและชัยชนะที่ยิ่งใหญ่”
TAG ที่เกี่ยวข้อง