6 กรกฎาคม 2567
หนึ่งในกีฬาดังที่ไม่ว่าจะเป็นการแข่งในระดับไหน ก็ล้วนแต่ดึงดูดผู้ชมได้ล้นสนามทุกครั้ง และในการแข่งขันเวทีโอลิมปิก 2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เทนนิสคืออีกหนึ่งการแข่งขันที่น่าจับตามองอย่างมาก
เทนนิส เป็นกีฬาที่ถือกำเนิดขึ้นในยุโรปช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยช่วงแรกๆ นั้นเทนนิสได้แพร่ขยายไปยังกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง ก่อนจะกลายเป็นกีฬาสากลที่เล่นกันเกือบทุกประเทศทั่วโลก และในปี ค.ศ.1926 มีการจัดทัวร์นาเมนต์ครั้งแรก เทนนิสจึงได้กลายเป็นกีฬาอาชีพ
เทนนิสถูกบรรจุเข้ามาในการแข่งขันโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1896 ก่อนจะถูกตัดออกตั้งแต่ปี 1924 หลังมีปัญหาเกี่ยวกับช่วงเวลาแข่งขันที่ไปตรงกับการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน นอกจากนั้นยังมีกรณีโต้แย้งในเรื่องนักกีฬาอาชีพกับสมัครเล่น ทำให้ไม่มีการแข่งขันกีฬาเทนนิสในโอลิมปิกเป็นเวลานานถึง 64 ปี
จนปี 1988 เทนนิสก็กลับเข้าสู่กีฬาโอลิมปิกอีกครั้ง และเป็นครั้งแรกที่อนุญาตให้นักกีฬาอาชีพลงเล่นได้ โดยไม่มีเงินรางวัล แต่มีเหรียญรางวัลให้ และนักกีฬาจะไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษเข้าพักในโรงแรมเหมือนการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน แต่ต้องพักในหมู่บ้านนักกีฬาแทน
ในปีนั้น สเตฟฟี่ กราฟ ได้เหรียญทองเป็นคนแรก ส่วนประเภทชาย เหรียญทองเป็นของ มิโรสลาฟ เมชีร์ จาก เชโกสโลวาเกีย
นอกจากนี้ เวทีโอลิมปิกยังเป็นสนามสร้างชื่อให้กับนักกีฬาเทนนิสระดับโลกมากมาย เช่น ราฟาเอล นาดาล (ปี 2008) แอนดี้ มารรีย์ (ปี 2012 และ ปี 2016) รวมทั้งสองพี่น้อง วีนัส และ เซเรนา วิลเลียมส์ ที่คว้าเหรียญทองในการแข่งโอลิมปิกกว่า 8 รายการ
เทนนิสเป็นกีฬาที่สามารถเล่นได้ในร่มและกลางแจ้ง โดยแบ่งเป็น 2 ฝ่ายแข่งกัน โดยมีผู้เล่นในประเภทเดี่ยวฝ่ายละ 1 คน และผู้เล่นในประเภทคู่ฝ่ายละ 2 คน ใช้ไม้เทนนิสตีส่งลูกไปมาเหนือตาข่ายภายในเขตที่กำหนด โดยพยายามตีลูกให้ลงในแดนคู่แข่ง จนคู่แข่งไม่สามารถตีลูกกลับมาลงในแดนของเราได้
เทนนิสก็เหมือนกีฬาทั่วไปที่ตัดสินแพ้ชนะกันด้วยคะแนน โดยในเกมหนึ่ง ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามทำคะแนนได้จะนับคะแนนของฝ่ายนั้นเรียงตามลำดับดังนี้ 15, 30, 40, เกม (ซึ่งก็คือคะแนนที่ 1, 2, 3, 4 ที่ทำได้ตามลำดับนั่นเอง)
หากคะแนนเสมอกันที่ 40-40 จะต้องเล่นต่อไปอีก 2 คะแนน เรียกว่า ดิวซ์ (deuce) และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำคะแนนนำ 1 คะแนนได้ก่อน และหากฝ่ายนั้นทำได้อีก 1 คะแนน ก็จะชนะในเกมนี้ไป แต่หากทำไม่ได้ก็ถือว่ากลับมาเสมอกันที่ 40-40 อีกครั้ง และก็ต้องเล่นดิวซ์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งเคล็ดลับสู่ชัยชนะที่นักกีฬาดังระดับโลกมากมายใช้ในการแข่งขันอย่างเปิดเผย นั่นคือการเสิร์ฟด้วยความเร็วสูง ซึ่งมีประโยชน์ในการคุมเกมการแข่งอย่างมาก เพราะมันเป็นการสร้างความกดดันให้คู่แข่งที่เป็นฝ่ายตั้งรับโดยตรง
อย่างไรก็ตาม หากฝ่ายตรงข้ามสามารถแก้เกมการเสิร์ฟที่รุนแรงได้ ผลลัพธ์นั้นจะย้อนกลับไปหาผู้เสิร์ฟได้เช่นกัน และอาจกลายเป็นตัวตัดสินการแพ้ชนะในการแข่งขันได้เลย
แม้จะเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยนักกีฬาอาชีพที่ติดอันดับโลกมากมาย แต่การแข่งเทนนิสในโอลิมปิกนั้นก็มีเหตุการณ์ "ล้มยักษ์" เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และเป็นเวทีสร้างชื่อให้กับเหล่าดาวรุ่งมากมาย เช่นในปี 2016 ที่นักเทนนิส โมนิกา ปูอิก ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาเปอร์โตริโกคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้สำเร็จ
นอกจากนี้ยังมีการจับคู่ที่เหนือความคาดฝันอย่าง ราฟาเอล นาดาล กับ มาร์ค โลเปซ เพื่อนร่วมชาติชาวสเปน ที่ผงาดคว้าเหรียญทองในประเภทชายคู่ ในศึกเทนนิสโอลิมปิก 2016
จากเหตุการณ์เหล่านี้ จึงเป็นที่น่าจับตาอย่างมากว่า ในการแข่งปารีส 2024 ที่จะมาถึงนี้ จะมีเหตุการณ์อะไรให้ผู้คนต้องจารึกไว้อีกหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการมาของดาวเด่นดวงใหม่ หรือการกลับมาผงาดของดาวดังในอดีต
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ปารีส 2024 น่าจะเป็นโอลิมปิกหนสุดท้ายของนักหวดระดับว่าที่ตำนานหลายคน โดยเฉพาะฝ่ายชาย ทั้ง โนวัค โจโควิช, ราฟาเอล นาดาล และ แอนดี้ มาร์รี่ย์ ซึ่งสองรายหลังคงอำลามหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติได้โดยไม่มีอะไรคาใจ เพราะเคยคว้าเหรียญทองประเภทชายเดี่ยวมาแล้ว ผิดกับ โจโควิช เจ้าของสถิติแชมป์แกรนด์สแลมมากที่สุด ที่ยังไม่เคยถึงฝั่งฝัน ใกล้เคียงสุดคือเหรียญทองแดงปี 2008 ส่วนหนที่แล้วได้อันดับ 4 แบบชอกช้ำ ซึ่งคงต้องมารอดูกันว่า โจโควิช ที่กำลังฟื้นร่างกายจากอาการเจ็บเข่า จะสมหวังเสียทีหรือไม่