ชัยวัฒน์ รัตนะ กับเป้าหมาย 2 ทองในพาราลิมปิกเกมส์ "ปารีส 2024"

จากผลงาน 2 เหรียญทองวีลแชร์เรซซิ่ง กรีฑาคนพิการชิงแชมป์โลกรายการ เวิลด์ พารา แอธเลติก แชมเปี้ยนชิพ 2023 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และผลงานในนามนักกีฬาพาราลิมปิกทีมชาติไทย บีม ชัยวัฒน์ รัตนะ คือหนึ่งในนักกีฬาตัวเต็งสำหรับปารีสพาราลิมปิก 2024

นี่คือเรื่องราวจุดเริ่มต้นของฮีโร่เหรียญทองทีมชาติไทย และเป้าหมายสำหรับปารีสเกมส์ 

ไอดอลคือประวัติ วะโฮรัมย์

เรื่องเล่าย้อนหลังไปเมื่อกว่า 10 ปีก่อน บีม ชัยวัฒน์ ชาวจังหวัดสระแก้ว เคยเห็นประวัติ วะโฮรัมย์ รุ่นพี่วีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย ออกทีวีเมื่อพาราลิมปิกปี 2008 จุดประกายให้บีมอยากหันมาเล่นกีฬาบ้าง

“ตอนนั้นผมเรียนที่สระแก้ว แล้วเห็นพี่วัติออกทีวี ตอนนั้นปี 2008 พี่เค้าได้เหรียญพาราลิมปิก ผมคุยกับพ่อว่าอยากเป็นแบบพี่เขา อยากเล่นกีฬาได้ ก็เลยไปเรียนโรงเรียนฝึกอาชีพพระมหาไถ่ และเห็นกีฬาวีลแชร์ ก็เริ่มลองหารถมานั่ง จากที่ไม่มีอุปกรณ์ต้องยืมรุ่นพี่ ตอนนั้นอายุ 16 ถึง 17 ปี จนมาสู่การลงแข่งเพื่อความเป็นเลิศ”

บีมเล่าว่าก่อนจะเป็นวีลแชร์เรซซิ่ง เขาเคยลองเล่นกีฬาบาสเกตบอลมาก่อน จนค้นพบว่าถนัดกีฬาประเภทเดี่ยวมากกว่า บวกกับความทรงจำสมัยวัยรุ่นที่เคยเห็นพี่ประวัติ แล้วอยากเดินรอยตามบ้าง ทำให้เปลี่ยนมาเป็นกีฬาวีลแชร์

“สมัยก่อนผมตัวเล็กมากแต่ชอบความเร็ว สมัยเริ่มต้นหารถนั่งไม่ได้ แขนไม่ถึงล้อ ก็ลองผิดลองถูกอยู่นาน จนได้มาเก็บตัวทีมชาติปี 2018 จนได้เหรียญทองเอเชียนพาราเกมส์ที่อินโดนีเซีย ในนามทีมชาติครั้งแรก”

เส้นทางทีมชาติ

บีมเล่าว่าเอเชียนพาราเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซียเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและกดดัน แต่เมื่อได้เหรียญตามเป้าหมาย ก็ทำให้โล่งใจและคิดว่าเดินมาถูกทางแล้ว 

“ตอนแรกผมตื่นเต้นว่าจะทำได้ไหม พอทำได้ ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก จากที่หวังแค่ติดหนึ่งในสามก็เกินเป้า ตอนนั้นลงแข่ง 100 เมตรคลาสที 34”

จากวันนั้นเส้นทางทีมทีมชาติของบีมเดินไปสู่โตเกียวพาราลิมปิก ปี 2021 จบลงด้วยการได้อันดับที่หก เพิ่มความทะเยอทะยานในตัวเองที่ต้องการพัฒนามากขึ้น จึงขอย้ายไปเก็บตัวที่จังหวัดนครราชสีมา ร่วมกับรุ่นพี่ทีมวีลแชร์

“เพราะผมอยากได้ประสบการณ์จากรุ่นพี่ อยากได้เทคนิคและคำปรึกษา เลยขอย้ายมาเก็บตัวที่โคราชแทน จากนั้นการซ้อมก็เปลี่ยนไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องความแข็งแรง ท่าปั่น พัฒนาขึ้นจนได้ไปซีเกมส์ที่อินโดนีเซียปี 2021”

บีมสามารถคว้าเหรียญทองพร้อมกับสถิติที่ดีขึ้นสำหรับระยะ 200 เมตร ทำให้เขาเห็นชัดเจนถึงพัฒนาการของตัวเอง 

ทุบสถิติโลกวีลแชร์เรซซิ่ง

และเมื่อโอกาสครั้งใหม่มาถึงมีการแข่งขันกรีฑาคนพิการชิงแชมป์โลกในปี 2023 ที่ปารีส ซึ่งจะเป็นตั๋วและใบเบิกทางสู่พาราลิมปิกเกมส์ 2024 บีมพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานสองเหรียญทอง 100 เมตรและ 400 เมตร ซึ่ง 400 เมตรได้กลายเป็นสถิติโลก

“ผมรู้สึกก้าวกระโดดมาก ชนะแชมป์โลกได้ จากเมื่อก่อนเคยห่างเขาเยอะมาก รู้สึกตัวเองเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ตอนนั้นดีใจมากครับ เพราะเราใกล้ถึงจุดของความสำเร็จซึ่งผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะเป็นเหรียญในพาราลิมปิก”

บีมยังเล่าถึงช่วงเวลาที่ได้ฝึกซ้อมร่วมกับพี่ประวัติ จากความเขินอายได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำที่ดี ได้กลายเป็นเป็นแบบอย่างและไอดอลในฐานะนักกีฬาในปัจจุบัน

“ตอนแรกผมอายไม่กล้าคุย พออยู่กับแกไปแกใจดีมากคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ดีมาก เป็นพี่ที่ดีและน่ารักของน้องๆ แกเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ขยันซ้อม เหนื่อยขนาดไหนก็ไม่เคยท้อ เป็นตัวอย่างให้เราและรุ่นน้องทุกคน”

สู่ปารีสพาราลิมปิก 2024

ในปลายเดือนสิงหาคม 2024 บีมจะได้อยู่ในจุดสตาร์ต ของการแข่งขัน ที่เป็นความหวังและเป้าหมายในชีวิตนักกีฬาของเขา ด้วยความมั่นใจและการฝึกซ้อมที่ผ่านมา ทำให้บีมตั้งเป้าถึง 2 เหรียญทอง

“ช่วงนี้เข้มข้นทุกอย่างครับ ทุกวัน ตอนนี้ฟิตเต็มที่ ผมหวังเหรียญทอง 2 เหรียญ ทั้ง 100 เมตร และ 800 เมตร มั่นใจว่าทำได้เต็มที่แบบที่ซ้อมมา และอยากทำสถิติใหม่ให้ได้อีกครั้งในระยะ 100 เมตร” ซึ่งในวันที่ 2 กันยายน บีม ก็บรรลุเป้าหมายแรกของเขาคือเหรียญทอง 100 ม. พร้อมด้วยการทุบสถิติพาราลิมปิกเกมส์

อยากบอกกับตัวเองว่าแม้จะรู้สึกท้อบ้าง แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ได้ จะต้องไม่รู้สึกท้ออีกแล้วเพราะลำบากมากกว่านี้ก็เคยผ่านมาแล้ว

“พ่อบอกผมว่าให้ตั้งไจทำให้ดีที่สุด เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว นึกถึงตอนได้เหรียญครั้งแรกแม่บอกว่าพ่อร้องไห้และดีใจมาก ที่ลูกนำธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาได้ และครั้งนี้ผมหวังว่าจะทำได้อีกครั้ง”

เพราะกำลังใจคือสิ่งสำคัญของนักกีฬาทุกคนในฐานะตัวแทนกรีฑาทีมชาติไทยพาราลิมปิกปารีส 2024  บีมบอกว่าอยากขอกำลังใจให้กับตัวเขา และทัพนักกีฬาพาราลิมปิกไทยทุกคน เพื่อสร้างผลงานและความสุขให้กับคนไทยทั้งประเทศ