stadium

พลังลมที่สร้างแรงบันดาลใจ "เทนนิส" พาณิภัค แรงพัดสู่เป้าหมายสุดท้าย

7 สิงหาคม 2567

โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศ ฝรั่งเศส จะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้าย สำหรับเส้นทางการต่อสู้ของ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเทควันโดมือ 1 ของโลก สุดยอดนักกีฬาตัวอย่างที่แม้จะประสบความสำเร็จมาครบทุกรายการแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนจะวางมือเพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปเป็นผู้ฝึกสอน เช่นเดียวกับ ฮาตาริ ต้องการพัดพลังบวกให้คนไทยก้าวทันทุกการเปลี่ยนแปลง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ พัดพาศักยภาพ และความสามารถของคนไทยให้ไปสู่เวทีโลก

 

 

แรงบันดาลใจพัดสู่ความสำเร็จ

 

ทุกความสำเร็จของ “เทนนิส” เกิดขึ้นได้ผ่านกระบวนการจากหลายฝ่าย จนเกิดเป็นลมที่พัดพาเธอไปสู่เหรียญทองโอลิมปิก ที่โตเกียว 2020 ซึ่งผลจากความพยายามของทุกฝ่ายนั้นล้วนมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหากขาดใครคนใครหนึ่งไปแล้วความสำเร็จอาจไม่มีทางเกิดขึ้น

 

เริ่มต้นจากเแรงบันดาลใจคนสำคัญที่คอยอยู่เคียงกันในทุกช่วงเวลา ทุกครั้งที่เหนื่อยและท้อจากการฝึกซ้อมและการแข่งขัน คนแรกที่หันไปแล้วพบได้ในทันทีคือ สิริชัย วงศ์พัฒนกิจ คุณพ่อผู้อยู่เคียงข้างและเป็นแรงผลักดันในทุกช่วงเวลา ตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงวันปัจุบัน คุณพ่อได้มอบทั้งคำสอนและทัศนคติที่ดี ปลูกฝังให้มีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบ คอยเคี่ยวเข็ญให้ทุ่มเทและใส่ใจกับการฝึกซ้อม รวมถึงส่งต่อกำลังใจดี ๆ ให้วันที่เหนื่อยล้าและผิดหวัง ผลักดันจนลูกสาวคนเก่งคนนี้ได้เป็นนักกีฬาทีมชาติไทยตั้งแต่อายุ 13 ปี

 

นอกจากคำสอนและกำลังใจครอบครัวแล้ว ทักษะกีฬาเทควันโดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ “เทนนิส” พาณิภัค เริ่มฝึกฝนครั้งตอนอายุ 9 ขวบ ได้รับการขัดเกลามาอย่างดีเยี่ยมจากอาจารย์ทรงศักดิ์ ทิพย์นาง โค้ชคนแรกผู้ถ่ายทอดพื้นฐานการต่อสู้ให้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสู่การนำไปต่อยอดเทคนิคต่าง ๆ สำหรับใช้ในการแข่งขันจริง เปรียบเสมือนครูผู้สอนมอบแรงบันดาลใจให้เธอหัดบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ด้วยตัวเอง ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี ทุกอย่างที่รับการส่งต่อมาก็ทำให้เธอได้เป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติไทย

 

 

เมื่อเข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ถือเป็นย่างก้าวสำคัญของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จอย่างน่าเหลือเชื่อด้วยผลงานคว้าแชมป์มากถึง 51 รายการ เป็นความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์วงการกีฬาไทย และในฐานะนักกีฬาทีมชาติ “เทนนิส” พาณิภัค ก็ได้รับการสนับสนุน และสร้างแรงบันดาลใจอย่างดีเยี่ยมมาตลอด จากทั้ง ดร.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด ส่งเสริมและสนับสนุนในทุกด้าน รวมถึงไปการเทรนนิ่งโดยสุดยอดโค้ชอย่าง “โค้ชเช” ชัชชัย ชเว แรงบันดาลใจอีกคนสำคัญ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย โค้ชผู้สร้างทุกความสำเร็จและยกระดับกีฬาเทควันโดไทยไปสู่ระดับโลก รวมถึงทีมงานผู้ฝึกสอนคุณภาพท่านอื่น ๆ คอยชี้นำให้ทั้งในสนามซ้อมและสนามแข่งขัน

 

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ยังมีทีมงานมืออาชีพอีกหลายฝ่ายที่อยู่เบื้องหลัง อาทิ ผู้จัดการทีมที่คอยอำนวยความสะดวกให้นักกีฬามีความพร้อมมากที่สุด นักโภชนาการคอยดูแลเรื่องอาหารช่วยเสริมสร้างพลังงานและควบคุมน้ำหนัก, นักจิตวิทยาการกีฬาช่วยดูแลเรื่องจิตใจทั้งก่อนและหลังแข่ง, 

นักวิทยาศาสตร์การกีฬา คอยทำงานร่วมกันกับนักกายภาพ และแพทย์ประจำทีม ช่วยดูแลเรื่องสภาพร่างกายให้สมบูรณ์และรักษาให้เมื่อมีอาการบาดเจ็บ, นักกีฬาในแคมป์ทีมชาติทุกคนที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นคู่ซ้อมให้กับ “เทนนิส” พาณิภัค รวมไปถึงหน่วยงานจากภาครัฐและเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนสร้างแรงผลักดันในทุกด้าน

 

 

ความสำเร็จสร้างพลังบวก พลัสแรงบันดาลใจ

 

ก่อนจะเป็นผู้ให้ “เทนนิส” ก็เคยผู้รับมาก่อนเหมือนกัน รับแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของรุ่นพี่ เรียนรู้และเดินตาม จนกระทั่งเติบโตประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทำให้ในวันนี้เธอเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ให้ต่อไปอีกหลายคน

 

นอกจากจะช่วยเติมเต็มความฝันของตัวเธอเองแล้ว ยังช่วยเติมเต็มความฝันให้กับทีมงานเบื้องหลังทุก ๆ คนที่มีส่วนช่วยผลักดันให้ไปถึงจุดหมาย เติมกำลังใจให้ทีมงานทุกคนได้มีพลังบวกที่จะก้าวเดินต่อไปในเส้นทางของพวกเขาเช่นกัน

 

ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อมองให้ลึกลงไปอีก เราจะมองเห็นถึงคุณค่าของความสำเร็จยังมีมูลค่าทางจิตใจที่มากกว่านั้น ไม่ใช่แค่กับตัวเธอเอง แต่มันถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ถูกส่งต่อเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนอีกนับล้านคนในรุ่นต่อมา เยาวชนทุกคนที่เฝ้ามองเธออย่างฮีโร่ เหมือนเธอที่เคยเฝ้ามองรุ่นพี่ สร้างเป้าหมายให้กับเด็ก ๆ ได้มีความฝันที่อยากเจริญรอยตาม

 

“หนูดีใจที่ได้เห็นเด็ก ๆ หลายคนพยายาม เหมือนได้เห็นตัวเองตอนเด็ก ๆ เลยค่ะ แค่นี้มันก็ดีมากๆแล้ว” “เทนนิส” พาณิภัค 

 

ตลอดการเดินทางเกือบสองทศวรรษบนเส้นทางนักสู้ “เทนนิส”​ ได้ยอมสละร่างกาย เอาความเจ็บปวดเข้าแลกเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย และถึงแม้จะประสบความสำเร็จมาหมดทุกอย่างแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ยังอยากพัดพาตัวเองก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ซึ่งในโอลิมปิกเกมส์ 2024 เข้าสู่บทสุดท้ายบนเส้นทางนักกีฬาแล้ว 

 

“เทนนิส” กล่าวอย่างมุ่งมั่นว่า “ตอนนี้ร่างกายหนูมันพังไปหมดแล้วค่ะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่หนูจะยอมแลก หนูไม่เคยคิดเลยว่าจะมาได้ไกลถึงทุกวันนี้”

 

หลังจากฝ่าฟันกันมาตลอดเส้นทาง “เทนนิส” ได้มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งสำคัญอีกครั้ง เมื่อการต่อสู้หนนี้จะเป็นการแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์ที่คนไทยทั้งประเทศ จะต้องร่วมด้วยช่วยกันลุ้นและพัดพลังใจส่งแรงเชียร์ไปให้ถึงขอบสนาม เพราะหลังจากโอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้สิ้นสุดลง “เทนนิส” จะวางมือจากการเป็นนักกีฬาและเปลี่ยนบทบาทไปทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน นำประสบการณ์และวิชาความรู้ถ่ายทอดให้กับเยาวชนต่อไปตามวงล้อของชีวิต เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อวงการเทควันโดบ้านเราในภายภาคหน้าไม่มากก็น้อย

 

ฮาตาริ ขอเป็นหนึ่งในแรงลมที่พัดกำลังใจให้กับการเตะครั้งสุดท้ายของ “เทนนิส” ในการแข่งโอลิมปิก 2024 เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพและความมุ่งมั่นในตัวเธอที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่งจนถึงแมตช์สุดท้าย และเธอยังจะคงพัดแรงบันดาลใจนี้ไปถึงเด็กๆ รุ่นใหม่ต่อไป


stadium

author

ปวีน เทพพวงทอง

StadiumTH Content Creator / เชียร์หงส์แดง รักการเดินป่า เสพติดหมูกระทะ

Hatari
stadium olympic