24 กรกฎาคม 2567
หลังจากที่ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เตรียมอำลาทีมชาติไทยเมื่อจบโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทำให้หลายคนกังวลว่าผลงานของทีมเทควันโดไทยจะตกลงหรือไม่
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาของความสิ้นหวังนี้เอง กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากประจวบคีรีขันธ์ได้ก้าวขึ้นมาสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งวงการเทควันโด จากความสำเร็จเหรียญทองเอเชียนเกมส์และรองแชมป์โลกที่ทำได้ตลอดปี 2023 ชื่อของ “หยู” บัลลังก์ ทับทิมแดง จอมเตะวัย 18 ปี กลายมาเป็นความหวังใหม่ที่รอวันรับช่วงต่อจาก “เทนนิส” พาณิภัค
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร แล้วทำไมถึงได้ระเบิดฟอร์มอันร้อนแรงออกมาในปีนี้ ติดตามไปพร้อมกันได้ที่นี่
ความเดียงสาของเด็กหนุ่มในวัยเพียง 7 ขวบ ส่งผลให้ บัลลังก์ หรือ หยู ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางวงการเทควันโดเพียงเพราะความหลงใหลในเสน่ห์ของชุดยูนิฟอร์มง่าย ๆ แบบนั้น
“ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเล่นกีฬาเลยครับ ผมแค่ชอบกีฬาประเภทต่อสู้เฉย ๆ ชอบดูชอบเล่นแค่นั้น” หยูเล่าย้อนความหลังก่อนเผยต่อว่า “แต่วันนึง แถวบ้านมียิมเทควันโดมาเปิด ผมก็เดินเล่นเดินผ่านไปตามปกติ ระหว่างนั้นสายตาดันชำเลืองไปมองเห็นชุดยูนิฟอร์มเข้า เห็นแล้วรู้สึกว่ามันเท่มากครับ อยากลองสวมใส่ดูเลย ตอนนั้นแค่ 7 ขวบเองทำได้แค่วิ่งกลับบ้านไปขอพ่อ ซึ่งท่านก็ส่งไปเรียนตั้งแต่ตอนนั้นเลย”
เมื่อก้าวเดินแล้ว เขาไม่เคยรู้เลยว่าเส้นทางข้างจะเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าเขาจริงจังกับการฝึกซ้อมและการแข่งขันมากขึ้น จากเล่นเพื่อความสนุกกลายเป็นคนที่เกลียดความพ่ายแพ้แบบไม่รู้ตัว
“ช่วงซ้อมแรก ๆ ก็รู้สึกสนุกดีครับ เหมือนเราได้มาเปิดประสบการณ์ ได้เพื่อนใหม่ ได้เจออะไรใหม่ ๆ ก็เล่นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ 13-14 ปี พอเริ่มโตขึ้น การแข่งขันก็ยิ่งสูงขึ้น ซ้อมหนักขึ้น เวลาไปแข่งแล้วแพ้มาก็เสียใจมากกว่าเดิม ก็เลยตั้งใจฝึกซ้อมให้มากขึ้น เพราะอยากชนะ”
“เหมือนเราไม่อยากแพ้แล้ว เพราะเวลาเดินทางไปซ้อมหรือไปแข่ง จะมีคุณพ่อเป็นคนคอยไปรับไปส่ง แต่เวลาแพ้กลับมา ผมจะมีความรู้สึกว่าคุณพ่อต้องเสียใจมากแน่ ๆ ที่เราเอาชนะไม่ได้ ก็เลยอยากชนะมาตลอด”
“ซึ่งคุณพ่อก็จะสอนเสมอว่าอย่ากลัวคู่ต่อสู้ ให้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่เรากลัวก็ไม่ต้องแข่ง ให้กลับบ้านเลย หรือถ้าคิดว่าเราแพ้ก็จะแพ้จริง ๆ”
หลังจากค้นพบว่าตัวเองเป็นคนเกลียดความพ่ายแพ้ หยูตัดสินใจละทิ้งชีวิตวัยรุ่นแบบเด็กหนุ่มทั่วไป หันมามุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเพื่อเส้นทางของความฝัน ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จในระดับประเทศได้เป็นหนแรก ซึ่งกลายมาเป็นใบเบิกทางในการก้าวเข้าสู่ทีมชาติไทย
“ตอนผมอายุ 14 ปีนั้นผมคว้าเหรียญทองชิงแชมป์ประเทศไทยและเหรียญทองเยาวชนแห่งชาติได้ในปีเดียวกัน จากนั้นสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยได้เรียกตัวนักกีฬาที่มีผลงานในปีนั้นมาคัดตัว ซึ่งผมก็ผ่านการคัดตัวและได้เป็นตัวแทนทีมชาติ”
“ก็เริ่มจากรุ่นเยาวชนก่อนครับ ตอนไปแข่งครั้งแรกยังเด็กมาก ตื่นเต้นมาก มีปัญหาเยอะมาก ลดน้ำหนักก็ยังลดไม่ได้ ประสบการณ์ก็ยังไม่มี แต่รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ได้เป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่ง”
ความยอดเยี่ยมของหยูค่อย ๆ ฉายออกมา ในปี 2022 เขาแจ้งเกิดด้วยการคว้าเหรียญเงินจากแมตช์ชิงแชมป์เอเชียและชิงแชมป์โลกในรุ่นเยาวชน ซึ่งเป็น 2 รายการใหญ่สุดในระดับทวีปและระดับโลก ความสำเร็จดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นเป็นกำลังสำคัญให้ทีมชาติได้ในไม่ช้า
“การมาอยู่ในแคมป์ทีมชาติ มันซ้อมหนักอยู่แล้วครับ แต่เราต้องพยายามพัฒนาตัวเองมากกว่าคนข้างนอก ซึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วยความเหนื่อยที่มันต้องเหนื่อยมาก ๆ และการใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กที่หายไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ผมพร้อมจะแลกอยู่แล้วครับ เพราะผลลัพธ์ที่ได้มามันคุ้ม”
ในปี 2023 ถือเป็นย่างก้าวสำคัญและกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเขา ด้วยส่วนสูงถึง 190 เซนติเมตร แถมมีรูปร่างสูงใหญ่แบบธรรมชาติ ความแข็งแรงและแรงปะทะสามารถต่อกรกับนักกีฬาต่างชาติได้แบบสูสีเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าหาได้ยากมากในหมู่นักกีฬาชายไทย
คุณสมบัติทางด้านร่างกายหยูถือว่าโดดเด่น แถมชั้นเชิงและทักษะก็ได้รับการขัดเกลาโดยโค้ชเชให้คมมากขึ้น ในปีนี้เองที่ หยู ผ่านการคัดตัวภายในและได้เป็นตัวแทนทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก โดยจะได้เดบิวต์ในฐานะนักกีฬาทีมชาติชุดใหญ่ในศึกชิงแชมป์โลก 2023 ลงแข่งในรุ่น 63 กิโลกรัม
แน่นอนว่าในแง่ประสบการณ์หยูเป็นรองคู่แข่งทุกคน แต่ความมั่นใจในตัวเองบวกกับความนิ่งที่เกินวัย ทำให้เขาฝ่าฟันไปได้ไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ ท้ายที่สุดถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เหรียญทอง แต่การเปิดตัวครั้งแรกกับทีมชาติชุดใหญ่ ด้วยการคว้ารองแชมป์โลก ก็ถือว่าสวยงามและเหนือความคาดหมายของเด็กหนุ่มวัย 17 ปีในเวลานั้นมาก ๆ
หยู เล่าต่อว่า “หลังจบจากแมตช์นั้นผมบอกกับตัวเองว่าแมตช์หน้าจะต้องเอาเหรียญทองมาให้ได้ ต้องเอาชนะทุกคนให้ได้”
จากนั้นในเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่ประเทศจีน หยูเป็นตัวแทนในรุ่น 63 กิโลกรัมอีกครั้ง และถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งได้รองแชมป์โลกมาหมาด ๆ แต่ก็ไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะต้องคว้าเหรียญทองให้ได้ สมาคมเทควันโดฯ ตั้งเป้า 1 เหรียญทองจาก “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ รุ่น 49 กิโลกรัมหญิงมากกว่า หยูจึงลงแข่งขันแบบไร้ความกดดันและเป็นเพียงม้ามืดที่พร้อมสอดแทรก
หยูตั้งเป้าหมายอย่างแน่วแน่เอาไว้แล้วว่า “ก่อนแข่งเอเชียนเกมส์ ผมอยากชนะให้ได้ทุกคนครับ ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะได้เหรียญทองรึเปล่า แค่อยากจะชนะให้ได้ทุกคนเท่านั้นครับ ผมไม่กดดัน และยังมั่นใจในตัวเองมาก ๆ ว่าจะทำได้แน่”
ความสำเร็จในศึกชิงแชมป์โลกที่ได้มาเหมือนปลุกความมุ่งมั่นและช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเขาเอง ตลอดเส้นทางหยูล้มนักกีฬาจากเนปาล ต่อด้วยไชนีส ไทเป จากนั้นก็โค่นเจ้าภาพต่อหน้ากองเชียร์ในรอบตัดเชือก ส่วนรอบชิงฯ ปราบตัวเต็งจากอิหร่านได้เช่นกัน สร้างเซอร์ไพรส์คว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์มาได้แบบเหนือความคาดหมายอีกครั้ง
“การก้าวไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้มันอยู่ที่ตัวเราเองด้วย โค้ชด้วย โดยเฉพาะโค้ชช่วยทำให้ผมมีสติ มีสมาธิ ช่วงแก้เกมก็พูดให้ผมเข้าใจง่าย ไม่คิดเหมือนกันครับว่าผมจะได้เหรียญทองคนแรกในรอบ 13 ปี ต่อจากโค้ชแม็กซ์ (ชัชวาล ขาวละออ) ซึ่งโค้ชแม็กซ์ก็พูดตลอดว่าผมทำได้ ผมเก่งกว่าเขา ผมดีกว่าเขา สูงกว่าเขา โค้ชให้กำลังใจตลอดพยายามพูดไม่ให้กดดัน”
“ดีใจมากครับที่ได้เหรียญทอง เพราะว่ารายการก่อนหน้านี้ที่ผมไปแข่ง ยังไม่เคยได้เหรียญทองเลยสักครั้ง ได้แต่เหรียญเงินมาตลอด ซึ่งครั้งนี้เป็นแมตช์แรกที่ผมทำได้ ก็ถือเป็นการปลดล็อกตัวเองด้วยครับ”
“หลังจากได้เหรียญผมไม่ได้โทรหาใครเลย กลับห้องมานั่งมองดูความสำเร็จของตัวเองเพียงคนเดียว ไม่คุยกับใคร นั่งดีใจกับตัวเอง เหมือนเหรียญที่เราอยากได้มานานมันอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ไม่ร้องไห้ด้วย แต่ภูมิใจในตัวเองมาก ๆ ครับ”
ต้องยอมรับว่าหลายปีมานี้ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ถือเป็นตัวแบกความสำเร็จของทีมมาตลอด โดยเฉพะในศึกใหญ่อย่างชิงแชมป์โลกและโอลิมปิก และจากการประกาศจะอำลาทีมชาติของเธอหลังจบโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ปารีส ย่อมส่งผลกระทบต่อทีมไม่น้อย
ดังนั้นการก้าวขึ้นมาของ บัลลังก์ ทับทิมแดง จึงเปรียบเสมือนการรับไม้ต่อในการไล่ล่าความสำเร็จของทีมได้ทันเวลา และด้วยวัยเพียง 18 ปี เขายังมีเวลาอีกเหลือเฟือเลยทีเดียว
“วันนี้ประสบความสำเร็จแล้วก็ดีใจครับ แต่ดีใจได้แปปเดียว ยังต้องกลับไปฝึกซ้อมต่อ เพราะความฝันของผมมันยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ยังปล่อยตัวเองไม่ได้”
“เป้าหมายต่อจากนี้ของผมคือการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดแล้ว ผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะมีโอกาส หลังจากนี้ก็ต้องฝึกซ้อมให้หนักขึ้น เพราะยังมีคู่ต่อสู้ที่ยังไม่เคยเจอ จะประมาทไม่ได้ ต้องตั้งใจทุกรอบ ทุกนัดเหมือนที่เคยทำ”
ณ เวลานี้หยูลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่ไปแล้ว 2 แมตช์ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ทั้ง 2 รายการ ยกระดับตัวเองกลายมาเป็นความหวังของทีมแบบเต็มตัว อย่างไรก็ตามยังมีอะไรให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ซึ่งจะไม่มีการชิงชัยในรุ่น 63 กิโลกรัม และเขาจะต้องลดน้ำหนักลงมา 5 กิโลกรัมเพื่อลงมาแข่งขันใน 58 กิโลกรัม
อย่างไรก็ตามแม้จะเจอโจทย์ยากที่มาแบบรอบด้าน แต่หยูเคลียร์มันลงได้อย่างสวยงามคว้าตั๋วลุยปารีส 2024 ได้สำเร็จ จากนี้เส้นทางที่เหลือคือการเอาชนะคู่แข่งยอดฝีมือเท่านั้น เช่น จาง จุน จอมเตะเกาหลีใต้ อันดับ 1 ของโลก เจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์ครั้งล่าสุด และเป็นอดีตแชมป์โลกในปี 2019, วิโต้ เดลลาควิลลา เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2020 จากอิตาลี และ โมฮาเหม็ด เจนดูบี้ มือ 2 ของโลกจากตูนิเซีย
ทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายที่รอเขาอยู่ แล้วหยูจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดของเขาหรือไม่ น่าติดตามมาก ๆ สำหรับเจ้าหนูวัย 18 ปีคนนี้ มาร่วมส่งใจเชียร์เขาไปพร้อม ๆ กัน
TAG ที่เกี่ยวข้อง