18 กรกฎาคม 2567
ในทุกเส้นทางแห่งความสำเร็จ ย่อมมีอุปสรรคเข้ามาเป็นบททดสอบเสมอ บ้างอาจล้มลุกคลุกคลาน บางคนอาจล้มเลิกความตั้งใจ แต่ไม่ใช่กับ ธนัญญา สมนึก หรือ "เนย" นักชกมวยสากลหญิงทีมชาติไทย รุ่น 60 กิโลกรัม วัย 23 ปีคนนี้ เพราะไม่ว่าเธอจะประสบปัญหานานัปการ ก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคนั้นมาได้เพียงเพื่อต้องการเป็นเบอร์หนึ่งบนสังเวียนผ้าใบ
ความแน่วแน่และตั้งมั่นเพื่อความฝัน เป็นแรงผลักดันให้เนยลุกขึ้นสู้และพร้อมจะเผชิญทุกปัญหา จากวันที่เคยท้อถอย กำลังใจหดหาย จนเกือบต้องล้มเลิกความตั้งใจในการเป็นนักชกมวยสากลสู่การคว้าสิทธิ์เข้าร่วมมหกรรมกีฬาที่ทั่วทั้งโลกตั้งตารออย่าง "โอลิมปิก" ทำให้ "เนย-ธนัญญา" ขยับใกล้ความฝันไปอีกขั้น
จากเด็กน้อยวัยขบเผาะที่กำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้ ค้นหาความชอบในตัวเอง จู่ ๆ วันหนึ่งโชคชะตานำพาให้ "เนย" ไปพบกับ "มวยสากล" กีฬาที่เลี่ยงไม่ได้กับการปะทะทางร่างกาย ในบางครั้งอาจนำมาซึ่งการหลั่งเลือด แต่เนยกลับหลงใหลในกีฬาชนิดนี้โดยไร้ซึ่งความกลัว อีกทั้งยังพร้อมเดินหน้าเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบของมวยสากล
“ตอนเด็ก ๆ หนูเป็นโรคหืดหอบ พี่ของหนูเลยแนะนำว่าให้ไปออกกำลังกายบ้างเพื่อสุขภาพของตัวเอง ซึ่งพอดีกับโรงเรียนอาจสามารถวิทยาที่หนูเรียนในตอนนั้นมีชมรมมวยสากลสมัครเล่นพอดีก็เลยเลือกชมนั้นไปโดยที่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเอาดีทางด้านนี้ คิดแค่ว่าเราไปออกกำลังกายและได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ”
เนยบอกด้วยว่า ข้อดีของการเข้าชมรมมวยสากลนอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น การชกมวยยังให้ค่าตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเอง เพราะในทุก ๆ การฝึกซ้อมครูผู้ฝึกสอนมักจะมีค่าขนมให้เป็นสิ่งตอบแทน แน่นอนว่ามันอาจไม่ใช่ปัจจัยที่มากมายนัก แต่สำหรับเด็กสาววัย 14 ปีมันคือผลตอบแทนที่งดงาม
“บ้านหนูไม่ได้มีฐานะร่ำรวย การที่ได้ค่าขนมจากการซ้อมมันก็ดีใจแล้ว”
ภายหลังจากที่ลงนวมฝึกซ้อมกับชมรมกีฬาของโรงเรียนได้สักระยะหนึ่ง ครูผู้ฝึกสอนก็เปิดโอกาสให้เนยได้ลงสังเวียนจริงเป็นครั้งแรก เธอบอกว่าแม้จะเป็นรายการเล็ก ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะต่อยอดไปสู่ความฝันที่เนยตั้งใจไว้ว่าต้องการเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยและการก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งในอนาคต
“ลงแข่งครั้งแรกหนูต่อยไม่เป็นเลย สะเปะสะปะมั่วไปหมด ผลวันนั้นก็คือแพ้ ร้องไห้เสียใจเลยกลับมาคุยกับอาจารย์ว่าหนูอยากจริงจังกับมวยสากล เอาให้ไปถึงระดับทีมชาติเลย เพราะว่ามันมีแข่งในระดับจังหวัดและระดับประเทศ แล้วหนูอยากเข้าร่วมแข่งกับเขาด้วย จึงหันมาตั้งใจซ้อมทุกวันโดยคิดเสมอว่าอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติให้ได้อย่างน้อยมันก็จะช่วยหารายได้มาช่วยเหลือครอบครัว”
ความตั้งมั่นในความฝันของเนยส่งผลให้ในเวลาต่อมาเธอมีโอกาสได้เข้าร่วมเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติและนี่เองคือจุดเปลี่ยนของความฝันจากการติดทีมชาติสู่ฝันที่ใหญ่กว่าด้วยการไปลุยศึกโอลิมปิกให้ได้สักครั้งในชีวิต
ใช่ว่าเส้นทางบนสังเวียนผ้าใบของเนยจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ มันไม่สวยงามอย่างที่เธอวาดฝันไว้ อุปสรรคถาโถมราวพายุซัดเข้าฝั่งจนเกือบทำให้สาววัย 23 ปีคนนี้สละความฝันตั้งแต่เด็กทิ้งไปอย่างไร้ความไยดี
“พอหนูได้เข้ามาซ้อมที่โรงเรียนกีฬาในระดับเยาวชน ระดับการซ้อมมันต่างกับที่ผ่านมามาก ๆ ในช่วงสัปดาห์แรกหนูร้องไห้ทุกวัน อยากกลับบ้านไม่เอาแล้ว ซ้อมจนแบบกินข้าวไม่ได้ ตื่นเช้ามาก็ไม่อยากไปซ้อม จากคนที่ชอบการชกมวยก็คิดว่าไม่น่าจะใช่สิ่งที่เราชอบอีกแล้ว”
ความแตกต่างในการฝึกฝนจากนักกีฬาโนเนมสู่การเป็นตัวแทนทีมชาติในระดับเยาวชนย่อมหลีกไม่พ้นที่จะทำให้เนยมีความคิดเช่นนั้น ด้วยระดับการฝึกซ้อมที่เข้มข้นบวกกับบริบทแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ซ้ำยังถูกครอบด้วยกฏระเบียบทำให้เธอรู้สึกบั่นทอน สภาพจิตใจถดถอยและคิดจะเลิกชกมวยเสียด้วยซ้ำ
ไม่ว่าอย่างไร เนยยังคงก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อมต่อไปแม้ว่าลึก ๆ จะยังคงมีกลิ่นอายของความละล้าละลังลอยคลุ้งอยู่ในความคิด “ไปต่อดีมั้ย?” หรือ “พอเท่านี้?” คำถามที่ทำให้เนยสับสน แต่เมื่อเธอไตร่ตรองจนกระทั่งตกผลึก คำว่า “ไปกันต่อ” จึงเป็นคำตอบสุดท้าย
“สิ่งที่หนูได้รับกลับมาคือระเบียบวินัย ความอดทนและอีกหลาย ๆ อย่างเหมือนเป็นการเปิดโลกใบใหม่ของเราจากคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ทำให้รู้ถึงเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย เพราะที่โรงเรียนเก่าไม่มีเรื่องของวิทยาศาสตร์การกีฬาหรือหลักโภชนาการอะไรแบบนี้เลย ความแตกต่างอีกอย่างคือ ทุกคนจริงจังกับการซ้อมมากค่อนข้างซีเรียส แต่พอซ้อมเสร็จก็คุยกันสนุกสนามตามปกติ”
หลังจากที่ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพื่อทำตามฝันให้สำเร็จ เนยได้รับโอกาสในการลงแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติเป็นครั้งแรกและสามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจด้วยการเอาชนะนักชกตัวแทนจากจังหวัดนครราชสีมาซึ่งมีดีกรีเป็นถึงนักชกทีมชาติไทย ทำให้เนยได้รับคำชื่นชมอย่างล้มหลามและฝีไม้ลายมือยังไปเข้าตาโค้ชทีมชาติไทยในขณะนั้น ท้ายที่สุด "เนย" ก็ถูกดึงตัวเข้าสู่การเป็นนักกีฬามวยสากลทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้สำเร็จ
ผลการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 19 ที่ประเทศจีน เนยสามารถคว้าเหรียญทองแดงมาครอง และยังทำให้เจ้าตัวได้สิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 2024 ในทันที เป็นการเติมเต็มความฝันในวัยเด็กที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศมหกรรมกีฬาระดับโลกนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต ณ เวลานี้เธอสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป้าหมายต่อจากนี้ไปคือการขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งบนผืนผ้าใบให้ได้
“พอรู้ว่าได้สิทธิ์ไปโอลิมปิก หนูรู้สึกตื่นเต้นมันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก พอหนูสามารถทำตามความฝันได้สำเร็จก็โทรไปบอกกับทางครอบครัวดีใจไป ร้องไห้ไปเพราะพวกเขาสนับสนุนหนูทุกอย่าง มันทั้งดีใจและกังวลเพราะกลัวว่าจะทำให้ทุก ๆ คนผิดหวังในการชกของหนู แต่ก็จะสู้เต็มที่ ซ้อมให้หนัก ความพร้อมตอนนี้คิดว่าแค่ 60% ต้องเพิ่มความเร็วการออกหมัด ฟุตเวิร์ก ความแข็งแรงของร่างกายและอีกเยอะมากที่หนูต้องเพิ่มเข้าไป เพราะข้อบกพร่องของหนูมีเยอะอาจเป็นเพราะประสบการณ์ในการแข่งขันที่ยังน้อยมาก ไม่เคยได้ขึ้นชกในเวทีใหญ่ ๆ”
เนยยังบอกด้วยว่า หลังจากนี้เธอจะต้องขยับแผนการฝึกซ้อมให้หนักขึ้น ต้องมีระเบียบวินัยที่ชัดเจน เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักกีฬา ยังคงมีความท้าทายใหม่ ๆ รออยู่ข้างหน้าเสมอ ทั้งการแข่งขันในรายการต่างประเทศที่คู่ชกต่างแข็งแรงและบึกบึนเพื่อรอรับแรงปะทะในอนาคต
“ถ้าหนูได้เหรียญทองในการแข่งโอลิมปิกครั้งนี้หนูจะสักสัญลักษณ์ของการแข่งขันไว้ที่หัวไหล่ซ้ายเพราะหนูเคยสักลายซีกหนึ่งที่หัวไหล่ขวาคือสัญลักษณ์การแข่งขันยูธโอลิมปิกที่อาร์เจนตินาปี 2018 ซึ่งมันมีความหมายตรงที่หนูไปได้เหรียญทองที่นั่นมาและครั้งนี้ถ้าหนูได้เหรียญทองมาอีกหนูก็จะสักมันเหมือนกัน”
เนยเปรยประโยคนั้นออกมาในเชิงขบขันแต่นั่นคือเป้าของคนที่จะก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งของวงการกำปั้นโลก การที่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนย่อมสร้างความแตกต่างในเชิงความคิดได้เสมอ
จากเรื่องราวทั้งหมดที่เนยได้บอกเล่าผ่านประสบการณ์บนเส้นทางของนักสู้ เห็นได้ชัดเจนว่านักชกสาวไทยคนนี้มีความตั้งใจที่แรงกล้าและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค พร้อมเดินหน้าล่าฝันในการก้าวไปเป็นเบอร์หนึ่งในวงการนักกีฬามวยสากลเพื่อให้สมความเพียรพยายามที่เธอทุ่มเททำเต็มกำลังมาโดยตลอด
TAG ที่เกี่ยวข้อง