29 พฤษภาคม 2567
เมื่อใดก็ตามที่ เลบรอน เจมส์ ประกาศอำลาวงการ การันตีได้เลยว่าชื่อของเขาจะถูกยกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของ บาสเกตบอล เอ็นบีเอ จากความสำเร็จส่วนตัวและต้นสังกัด
เส้นทางความยิ่งใหญ่ของเขามีเค้าลางความเป็น "ราชัน" ส่องประกายมาตั้งแต่เยาว์วัย และไม่ลดน้อยถอยลงแม้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนอายุจะเข้าเลข 4 ในปีนี้ คิงเจมส์ เริ่มต้นและครองบัลลังก์ของเขาได้อย่างไร ติดตามได้ที่นี่
ต้นทุนชีวิตของ เลบรอน เจมส์ ไม่ได้มีเท่าเด็กทั่วไป เขาเกิดที่เมืองอาครอน รัฐโอไฮโอ มีแม่คือ กลอเรีย มารี เจมส์ ที่คลอดเขาขณะมีอายุ 16 ปีเท่านั้น ส่วนพ่อของเขาถูกตัดออกจากสารบบชีวิต เนื่องจากทิ้งกลอเรียไปตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอตั้งท้อง อีกทั้งยังเป็นคนที่มีคดีติดตัวทั้งวางเพลิงและลักทรัพย์ ทำให้กลอเรียต้องรับบทแม่เลี้ยงเดี่ยวโดยมีคุณแม่ของเธอหรือยายของเจมส์คอยช่วยเหลือ
แต่พอเจมส์อายุได้ 3 ขวบ คุณยายของเขาเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายในวันคริสต์มาส ส่งผลให้กลอเรียต้องแบกรับภาระหนักอึ้ง ซึ่งด้วยความที่เธอเรียนไม่จบเพราะตั้งครรภ์ทำให้หางานที่มั่นคงได้อย่างยากลำบาก และต้องเปลี่ยนงานอยู่เสมอ พอเจมส์อายุ 5 ขวบครอบครัวของเธอย้ายบ้านถึง 7 ครั้ง เพื่อให้สะดวกกับการทำงาน
จนมาถึงจุดหนึ่ง เมื่อเจมส์อายุ 9 ขวบ กลอเรียตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต เมื่อเธอพิจารณาแล้วว่าการพาลูกย้ายไปย้ายมานั้นไม่เป็นประโยชน์ จึงฝากเจมส์ให้ แฟรงค์ วอลเกอร์ โค้ชอเมริกันฟุตบอลระดับเยาวชนในเมืองอาครอนเป็นคนดูแล ซึ่ง กลอเรีย เปิดเผยความรู้สึกในตอนนั้นว่า
"มันเป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่มันไม่ใช่เรื่องของเธอ นี่คือเรื่องของเจมส์ ซึ่งในเวลานั้นต้องการความมั่นคงในชีวิต"
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจครั้งนั้นของกลอเรีย คือการเลือกทางเดินที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้กับลูกชาย เพราะ แฟรงค์ วอลเกอร์ นี่เองที่เป็นผู้ริเริ่มแผ้วทางสู่การเป็นราชันเอ็นบีเอให้กับผู้ที่จะได้ชื่อว่า "คิงเจมส์" ในอนาคต
เจมส์พูดอยู่เสมอว่า ตอนอยู่เกรด 4 คือช่วงเวลาที่เปลี่ยนชีวิตของเขามากที่สุด เพราะหลังจากที่ต้องขาดเรียนเป็นว่าเล่น ย้ายที่อยู่นับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ได้รู้จักกับกีฬา และกีฬาที่เขาจริงจังด้วยอย่างแรกคือ อเมริกันฟุตบอล
ในช่วงหน้าร้อนปี 1993 บรู๊ซ เคลเคอร์ ที่เพิ่งเริ่มงานโค้ชอเมริกันฟุตบอลแบบเต็มตัวครั้งแรกให้กับทีม อีสต์ ดรากอน ซึ่งเป็นทีมสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบ กำลังมองหาเด็ก ๆ เข้าไปร่วมทีม ได้เจอกับเด็กชายร่างผอมสูงชื่อว่า เลอบรอน เจมส์ ที่กำลังเล่นไล่จับกับเด็กคนอื่น ๆ ในลานจอดรถของที่พักย่านดาวน์ทาวน์
"พวกเธอชอบเล่น (อเมริกัน) ฟุตบอลมั้ย?" เคลเคอร์ เดินตรงไปถามเด็ก ๆ กลุ่มนั้น
"นั่นน่ะกีฬาโปรดของผมเลย" เจ้าหนูเจมส์ตอบแบบเสียงดังฟังชัด
เคลเคอร์ที่กำลังอยากได้ดาวเด่นในทีม เมื่อได้ยินดังนั้น จึงจัดแจงทำการทดสอบสมรรถภาพร่างกายแบบเร่งด่วน โดยให้เด็กกลุ่มนั้นวิ่งแข่งระยะ 100 หลาที่ลานจอดรถ พร้อมกับบอกว่า คนที่เร็วที่สุดจะได้เป็นรันนิงแบ็กหรือตัววิ่งในทีมของเขา แน่นอน เจมส์ คือเด็กคนนั้น และเข้าเส้นชัยก่อนคนอื่นถึง 15 หลา
ถึงแม้เจมส์จะไม่เคยเล่นกีฬาชนิดนี้อย่างจริงจังมาก่อน และถูกกลอเรียคัดค้าน เนื่องจากเธอไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าอุปกรณ์ รวมถึงพาลูกชายไปซ้อมได้ แต่เมื่อลั่นวาจาไปแล้ว พร้อมทั้งเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ เคลเคอร์ รับปากกับแม่ของเจมส์ว่าเขาจะดูแลทุกอย่างเอง
ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพทางร่างกาย เจมส์ ระเบิดผลงานกับการเล่นอเมริกันฟุตบอลได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจดังคาด แต่ปัญหาเดียวคือการไม่มีที่พำนักเป็นหลักแหล่ง ส่งผลให้เคลเคอร์ผู้ทำหน้าที่รับ-ส่ง ต้องปวดหัวกับการตามตัวนักกีฬาคนเก่งของเขา สุดท้ายจึงตัดสินใจเชิญเจมส์และกลอเรียมาอยู่ด้วยเสียเลย แต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อแฟนสาวของเคลเคอร์รู้สึกว่าการใช้ชีวิตร่วมกัน 4 คนในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ คับแคบเกินไป
กลอเรียตัดสินใจย้ายออก ทำให้เธอและลูกต้องชีพจรลงเท้าอีกครั้ง ตอนแรกเธอคิดที่จะส่งเจมส์ไปอยู่กับญาติที่ยังส์ทาวน์หรือไปไกลถึงนิวยอร์ก ก่อนที่ แฟรงค์ วอลเกอร์ โค้ชอีกรายจะเสนอให้เจมส์ไปอยู่บ้านของเขาย่านชานเมือง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้กลอเรียสามารถไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนและยังไปเยี่ยมเจมส์ได้ในช่วงสุดสัปดาห์ กลอเรียเลือกอย่างหลัง และเปลี่ยนชีวิตเจมส์ไปตลอดกาล
การย้ายมาอยู่กับโค้ชแฟรงค์ทำให้เจมส์ได้สัมผัสความอบอุ่นของคำว่า "ครอบครัว" ที่แท้จริง เขาแชร์ห้องกับ แฟรงกี้ วอลเกอร์ จูเนียร์ หนึ่งในลูก 3 คนของแฟรงค์ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเขาในเวลาต่อมา ส่วนชีวิตประจำวันนั้น เจมส์ ต้องตื่นตอน 06.30 น. เพื่อไปเรียนและต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนฝึกซ้อมบาสเกตบอล ที่กำลังอยู่ในฤดูกาลแข่งขัน โดยมีแฟรงค์คอยสอนทักษะต่าง ๆ ให้ ทั้งการเลี้ยงลูกและวิธีการทำแต้ม
แฟรงค์ให้เจมส์ลงเล่นในทีม 9 ขวบ และให้เป็นผู้ช่วยโค้ชของทีม 8 ขวบ เพราะเชื่อว่าจะช่วยเร่งความเร็วในการเรียนรู้กีฬาชนิดนี้ ซึ่งกลายเป็นว่าพัฒนาการของเจมส์กับกีฬายัดห่วงพุ่งไปอย่างก้าวกระโดด บวกไปกับการสร้างวินัยในการใช้ชีวิตประจำวันของบ้านวอลเกอร์ ทำให้เขาพร้อมต่อการเป็นนักกีฬาแบบเต็มตัว ส่วนเรื่องการศึกษา เจมส์กลายเป็นคนที่ไม่ขาดเรียนอีกเลยนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ Portage Path Elementary ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นทดลองการเรียนแบบองค์รวม ทำให้นักเรียนได้เข้าคลาสวิชาดนตรี, ศิลปะ และพลศึกษา ที่ทั้งหมดกลายมาเป็นวิชาโปรดของเขา
พอขึ้น เกรด 6 เจมส์ได้กลับไปอยู่กับแม่อีกครั้ง หลังจากกลอเรียได้ที่พักเป็นหลักแหล่งแล้ว แต่เขายังคงไปมาหาสู่ครอบครัววอลเกอร์ตามเดิม ขณะเดียวกันเขายังคงเล่นอเมริกันฟุตบอล และบาสเกตบอล จนเข้าสู่ไฮสคูลที่ชื่อของเขาถูกรู้จักไปทั่วประเทศ
เจมส์เข้าเรียนไฮสคูลที่ เซนต์ วินเซนต์-เซนต์ แมรี่ ในบ้านเกิด และทันทีที่เขาลงแข่งก็เรียกความสนใจจากทั่วประเทศได้ในพริบตา ช่วงที่เขาขึ้นซีเนียร์มีหลายเกมที่ถูกถ่ายทอดสด และมีหลายเกมต้องย้ายไปแข่งที่สนามของมหาวิทยาลัยอาครอน เพื่อรองรับคนดูจำนวนมากที่อยากเห็นลีลาของเขา
คิงเจมส์กลายเป็นปรากฏการณ์บาสเกตบอลระดับไฮสคูล หลังจากพา ไฟต์ติ้ง ไอริช (ชื่อทีมบาสของโรงเรียน เซนต์ วินเซนต์-เซนต์ แมรี่) คว้าแชมป์รัฐ 3 สมัยภายใน 4 ปี และในช่วงเวลานั้น ทีมแพ้เพียง 6 เกม และในปีสุดท้ายเขาพาทีมก้าวขึ้นไปถึงแชมป์ประเทศ พร้อมกับคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันอีกด้วย
ส่วนอเมริกันฟุตบอล เจมส์ ลงเล่นให้โรงเรียนต้นสังกัดเช่นกัน และเคยพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศชิงแชมป์รัฐ แต่พอขึ้นปีสุดท้ายเขาถูกอาการบาดเจ็บจากบาสเกตบอลรบกวนจนไม่ได้ลงเล่น ก่อนจะหันมาโฟกัสการเป็นนักบาสเกตบอลอาชีพในเอ็นบีเอ แม้ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนจะวิเคราะห์ว่าเจมส์ดีพอลงเล่นในเอ็นเอฟแอลได้เลยด้วยซ้ำ
หลังประสบความสำเร็จในระดับไฮสคูล เจมส์ตัดสินใจไม่เรียนต่อระดับคอลเลจเพื่อเข้าสู่ เอ็นบีเอ ดราฟต์ ในปี 2003 โดยที่กูรูหลายสำนักฟันธงกันว่านี่แหละคือสตาร์ในอนาคต ทำให้ดราฟต์ลอตเตอรี่ในปีนั้นได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะเชื่อกันว่าเจ้าตัวจะได้รับเลือกเป็นคนแรกอย่างแน่นอน นอกจากนั้นความโด่งดังของเขายังถึงขั้นได้ขึ้นปกนิตยสาร Sports Illustrated ปี 2002 พร้อมคำโปรยว่า "The Chosen One" เลยทีเดียว
ด้วยโชคชะตานำพา คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส ทีมในบ้านเกิดของเขา คว้าสิทธิ์ดราฟต์อันดับ 1 จากลอตเตอรี่ไปครองได้ และกลายเป็นหนึ่งในการดราฟต์ที่ดีที่สุดของลีก เพราะแค่เกมแรกในอาชีพ เจมส์ วัย 18 ปี ซึ่งใส่หมายเลข 23 ตาม ไมเคิล จอร์แดน ขวัญใจของเขา ไม่ได้มีอาการตื่นสนามแม้แต่น้อย จัดการไป 25 แต้ม 6 รีบาวด์ และ 9 แอสซิสต์ จากการแพ้ ซาคราเมนโต คิงส์ ก่อนที่จะทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาล โดยทำเฉลี่ย 20.9 แต้ม, 5.5 รีบาวด์ และ 5.9 แอสซิสต์ต่อเกม ช่วยให้แคฟส์มีสถิติชนะ 35 แพ้ 47 เกม ซึ่งแม้จะพลาดโควตาเพลย์ออฟ แต่มีเกมชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนหน้านี้ถึง 18 นัด ส่งผลให้เจ้าตัวคว้ารางวัลรุกกี้แห่งปีไปครอง และหลังจบฤดูกาลนั้น เขาก็ได้ติดทีมชาติสหรัฐฯ ชุดคว้าเหรียญทองแดง โอลิมปิก เกมส์ ปี 2004 ที่กรุงเอเธนส์อีกด้วย
กลับมาจากโอลิมปิก เจมส์เหมือนได้พลังเทพเจ้ากรีกกลับมาด้วย จากรุกกี้กลายเป็นผู้เล่นระดับแนวหน้าของลีก เขาลงเล่นให้กับคาวาเลียร์ส 7 ฤดูกาล บู๊เฉลี่ย 78 เกมต่อซีซัน พาทีมเข้าชิงชนะเลิศได้ 1 สมัยในปี 2007 พาสหรัฐฯ กู้ศักดิ์ศรีคว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 2008 และคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า 2 สมัยซ้อนในปี 2009-2010 หลังจากทำเฉลี่ยอย่างน้อย 28 แต้ม 7 รีบาวด์ 7 แอสซิสต์ 1 สตีล 1 บล็อกต่อเกม เลอบรอน เจมส์ กลายเป็นพระเจ้าของ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายพาทีมคว้าแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ ซึ่งตัวเขารู้ดีว่าเป็นเพราะขุมกำลังในทีมที่มีขีดจำกัด ก่อให้เกิดการตัดสินใจครั้งสำคัญในอาชีพคือ "The Decision"
เจมส์ตัดสินใจเป็นฟรีเอเยนต์หลังจบฤดูกาล 2009-2010 โดยมีหลายทีมเข้ามาแจกขนมจีบหวังดึงเอ็มวีพี 2 สมัยซ้อนไปเสริมทัพ ทั้ง ชิคาโก บูลส์, แอลเอ คลิปเปอร์ส, ไมอามี ฮีต, นิวยอร์ก นิกส์, นิวเจอร์ซีย์ เน็ตส์ และคาวาเลียร์ส ซึ่งสุดท้ายเจ้าตัวจับมือกับช่อง ESPN ถ่ายทอดสดรายการพิเศษ "The Decision" ประกาศว่า "ผมจะนำความสามารถของตัวเองไปที่เซาธ์บีช" ที่หมายถึงการย้ายไปฮีตเพื่อร่วมทีมกับ คริส บอช และ ดเวย์น เวด 2 เพื่อนสนิทที่เพิ่งประกาศเซ็นสัญญากับฮีตหนึ่งวันก่อนหน้า โดยมีรายงานในภายหลังว่าพวกเขามีการพูดคุยกันตั้งแต่ปี 2006 เรื่องการเป็นฟรีเอเยนต์ในปี 2010 เพื่อร่วมกันสร้างซูเปอร์ทีมสู่การเป็นแชมป์เอ็นบีเอ
การเลือกฮีตของเจมส์, บอช และเวด แน่นอนว่าสร้างความยินดีให้กับชาวเมืองไมอามี แต่ในทางกลับกัน ชาวเมืองคลีฟแลนด์ต่างสาปแช่งการกระทำครั้งนี้ของแอลบีเจ เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนถูกทรยศจากคำสัญญาที่เจมส์ให้เอาไว้คือพาคาวาเลียร์สคว้าแชมป์ มีภาพผู้คนเอาเสื้อของเขามาเผาในที่สาธารณะ ขณะที่ แดน กิลเบิร์ต เจ้าของแคฟส์ออกจดหมายเปิดผนึกถึงแฟน ๆ เพื่อประณามการกระทำของเขาอย่างรุนแรง นอกจากนั้น กูรูกีฬา, บรรดาเจ้าของทีม, แฟน ๆ รวมถึงผู้เล่นทั้งในอดีตและปัจจุบันก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เจมส์ถึงความไม่เป็นมืออาชีพ ทั้งกรณีที่ประวิงเวลานานเกินไป และไม่มีทีมใดรู้การตัดสินใจของเขาล่วงหน้า รวมทั้งการใช้คำพูดที่ยกยอตัวเอง เจมส์เปลี่ยนสถานะจากนักกีฬาที่คนชื่นชอบ กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ชาวอเมริกันเกลียดที่สุดอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพูดถึงการกลับไปเจอทีมเก่าที่ถูกโห่ทุกครั้งที่ได้บอล
แม้จะถูกเปลี่ยนสถานะเป็นปิศาจ แต่เจมส์ก็ไม่สน เพราะเขาเลือกแล้วว่าจุดหมายปลายทางคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาต้องแลก เขาเข้าสู่รอบชิงได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกกับทีม แต่แพ้ ดัลลาส แมฟเวอร์ริกส์ ที่มี เดิร์ก โนวิตซกี้ นำทัพ ความพ่ายแพ้ของเจมส์มีคนรอซ้ำอยู่เพียบ โดยเฉพาะการที่เขาฟอร์มหลุดทำเฉลี่ยเพียง 3 คะแนนในควอเตอร์ที่ 4 ตลอดซีรีส์
แต่ในฤดูกาลถัดมา เจมส์ กลับมาทวงบัลลังก์อีกครั้ง โดยทำเฉลี่ย 27.1 แต้ม, 7.9 รีบาวด์, 6.2 แอสซิสต์ และ 1.9 สตีลต่อเกมในฤดูกาลปกติ คว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าสมัยที่ 3 ไปครอง และช่วยให้ฮีตทะลุเข้าถึงรอบชิงอีกสมัย คราวนี้พวกเขาปิดเกมเอาชนะ โอกลาโฮมา ซิตี้ ธันเดอร์ ที่มี เควิน ดูแรนท์ ได้สำเร็จ บรรลุเป้าหมายคว้าแชมป์เอ็นบีเอ พร้อมกับที่เจมส์ ได้รางวัลเอ็มวีพีของรอบชิง ด้วยผลงาน 28.6 คะแนน, 10.2 รีบาวด์ และ 7.4 แอสซิสต์ต่อเกม ก่อนที่เขาจะพาสหรัฐฯ ป้องกันแชมป์โอลิมปิกได้สำเร็จที่กรุงลอนดอน
ความยิ่งใหญ่นี้สานต่อในฤดูกาลต่อมา เจมส์ คว้าเอ็มวีพีอีกสมัยด้วยสถิติ 26.8 แต้ม, 8 รีบาวด์, 7.3 แอสซิสต์ และ 1.7 สตีลต่อเกมในฤดูกาลปกติ ตามด้วยการป้องกันแชมป์หลังแซงเอาชนะ ซาน อันโตนิโอ สเปอร์ส 4-3 เกม พร้อมผลงานเอ็มวีพีไฟนัลส์อีกสมัยจากสถิติ 25.3 แต้ม, 10.9 รีบาวด์, 7 แอสซิสต์ และ 2.3 สตีลต่อเกม ส่วนฤดูกาลต่อมา เจมส์พาฮีตลุ้นแชมป์ 3 สมัยซ้อน แต่สุดท้ายถูกสเปอร์สถอนแค้นคืนได้สำเร็จ
ปี 2014 เจมส์ตัดสินใจกลับไปร่วมทีมคาวาเลียร์สอีกครั้ง หลังจากเลือกไม่ต่อสัญญากับฮีต เพื่อทำสิ่งที่เขาเคยให้คำมั่นไว้กับชาวคลีฟแลนด์ คราวนี้เขากลับมาเป็นที่รักอีกครั้ง ต่างกับเมื่อปี 2010 โดยสิ้นเชิง และมี เควิน เลิฟ กับ ไครี่ เออร์วิ่ง เป็นตัวช่วยในการล่าแชมป์ อย่างไรก็ตาม แม้คาวาเลียร์ส จะเข้าถึงรอบชิงได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เจมส์กลับมาร่วมทีม แต่ต้องเจอปัญหาบาดเจ็บของ เลิฟ และเออร์วิ่ง ทำให้เขาต้องแบกภาระหนัก ก่อนที่จะพลาดท่าต่อ โกลเดน สเตต วอร์ริเออร์ส ที่มี สตีเฟ่น เคอร์รี่ นำทีม
ฤดูกาล 2015-16 เจมส์พาคาวาเลียร์ส เข้ารอบชิงอีกครั้ง คราวนี้ขุมกำลังฟิตสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาโคจรมาพบกับ วอร์ริเออร์ส แชมป์เก่าที่เพิ่งทำลายสถิติชนะฤดูกาลปกติมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นฝ่ายตกเป็นรองถึง 1-3 เกม ใคร ๆ ก็มองว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะกลับมา มีรายงานว่าเจมส์เรียกรวมตัวทั้งทีมไปดินเนอร์ที่บ้านของเขาเพื่อปลุกใจ หลังจากนั้นด้วยการระเบิดฟอร์มของเจมส์และความไม่ยอมแพ้ของเพื่อนร่วมทีม คาวาเลียร์สพลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะ 3 เกมรวด คว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนเจมส์ได้เอ็มวีพีรอบชิงตามคาด พร้อมกับการทำคำสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อ 13 ปีที่แล้วได้สำเร็จ ซึ่ง 2 ฤดูกาลต่อมา เจมส์ยังคงพาแคฟส์เข้ารอบชิงได้ทุกครั้ง แต่ต้องเสียท่าต่อ วอร์ริเออร์ส ที่ได้ดูแรนท์เข้าไปร่วมทัพจนกลายเป็นทีมไร้เทียมทาน
ฤดูกาล 2018 เจมส์ที่เป็นฟรีเอเยนต์อีกครั้ง ตัดสินใจเซ็นสัญญากับ แอลเอ เลเกอร์ส ซึ่งเอเยนต์ของเขาอธิบายว่า การไปฮีตปี 2010 คือเรื่องของการคว้าแชมป์ การกลับคาวาเลียร์สปี 2014 คือการทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ ส่วนครั้งนี้เป็นการทำตามความต้องการของเจมส์ล้วน ๆ" โดยในประวัติของเขา เลเกอร์ส คือหนึ่งในทีมที่เจมส์ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก เช่นเดียวกับทีม ดัลลาส คาวบอยส์ ในเอ็นเอฟแอล และการย้ายทีมครั้งนี้ความคิดเห็นเป็นไปในเชิงบวกมากกว่าด้านลบ
ในฤดูกาลแรกกับเลเกอร์ส เจมส์เจอปัญหาอาการบาดเจ็บที่ทำให้พลาดลงเล่นถึง 17 เกม และพลาดคว้าตั๋วเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2005 ก่อนที่ทีมจะเทรดเอา แอนโธนี่ เดวิส จาก นิวออร์ลีนส์ เพลิแกนส์ มาเสริมทัพในฤดูกาลถัดมา ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าของทีมทันที การประสานงานของ เจมส์ และเดวิส ทำให้ เลเกอร์ส เป็นทีมอันดับ 1 ของสายตะวันตก และแพ้เพียง 3 เกมในเพลย์ออฟก่อนถึงรอบชิงชนะเลิศที่ต้องเจอกับ ไมอามี ฮีต ทีมเก่า
รอบชิงชนะเลิศ เลเกอร์ส เอาชนะ ฮีต ได้สำเร็จ 4-2 เกม โดยที่เจมส์โชว์ฟอร์มเป็นพระเอกอีกครั้งจากผลงานเฉลี่ย 29.8 คะแนน, 11.8 รีบาวด์, และ 8.5 แอสซิสต์ต่อเกม คว้าแชมป์และเอ็มวีพีรอบชิงชนะเลิศเป็นสมัยที่ 4 ในอาชีพ กลายเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์กับ 3 ทีม
หลังจากนั้น แม้เจมส์จะรักษาระดับการเล่นของตัวเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อสำหรับผู้เล่นที่อายุกำลังจะเข้าสู่เลข 4 แต่ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บทั้งของตัวเองและเพื่อนร่วมทีม เลเกอร์ส ตกรอบแรกในเพลย์ออฟปีต่อมา และพลาดโควตาโพสต์ซีซันในฤดูกาล 2021-22 แม้เจมส์จะทำสถิติเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำอย่างน้อย 10,000 คะแนน, 10,000 รีบาวด์ และ 10,000 แอสซิสต์ตลอดอาชีพก็ตาม
ขณะที่ฤดูกาล 2023 คิงเจมส์ก็บันทึกชื่อตัวเองลงในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง จากการแซง คารีม อับดุล จาบบาร์ ขึ้นไปเป็นผู้ทำคะแนนรวมตลอดอาชีพสูงที่สุดตลอดกาล จากสถิติเดิม 38,387 คะแนน และพาเลเกอร์สเข้ารอบชิงแชมป์สายได้สำเร็จ ก่อนแพ้ เดนเวอร์ นักเก็ตส์ ที่ทะลุไปคว้าแชมป์ในเวลาต่อมา
ฤดูกาล 2023-24 ปีที่ 21 ในอาชีพของ แอลบีเจ เขากลายเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดในลีก หลังจากที่ อูโดนิส ฮัสเลม และ อังเดร อิกัวดาล่า รีไทร์ แต่อายุไม่ใช่ปัญหา เจมส์ยังคงทำผลงานระดับ 25 แต้มต่อเกมเป็นอย่างน้อย และในเดือนมีนาคม เขาก็สะสมแต้มตลอดอาชีพถึงหลัก 40,000 คะแนนได้เป็นคนแรก พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ เอ็นบีเอ คัพ รายการใหม่ซึ่งจัดแข่งระหว่างฤดูกาล ควบด้วยรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของทัวร์นาเมนต์ ก่อนจะเดินหน้าพาเลเกอร์สเอาชนะเพลิแกนส์ในรอบเพลย์อิน คว้าตั๋วเข้ารอบเพลย์ออฟได้เป็นครั้งที่ 17 ในอาชีพ ก่อนจะแพ้ต่อนักเก็ตส์ในรอบแรก 1-4 เกม
ถึงแม้ผลงานในเอ็นบีเอจะไม่ได้เป็นที่น่าพอใจนักกับเจมส์ แต่โฟกัสสำคัญอีกอย่างของเขาในปีนี้ คือ โอลิมปิก เกมส์ ปารีส 2024 ที่สหรัฐฯ หวังกู้ศักดิ์ศรีจากศึกเวิลด์คัพที่กลับบ้านมือเปล่าเมื่อปีที่แล้ว เจมส์นำทัพบาสอเมริกันล่าแชมป์สมัยที่ 5 ติดต่อกัน ร่วมกับผู้เล่นชั้นแนวหน้าของเอ็นบีเอ ทั้ง สตีเฟ่น เคอร์รี่, เควิน ดูแรนท์, เดวิน บูเกอร์, เจสัน เททัม, โจเอล เอ็มบีด และแอนโธนี่ เอ็ดเวิร์ดส์ ซึ่งจากรายชื่อผู้เล่นที่ออกมาเราพอคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์คงแตกต่างจาก เวิลด์ คัพ แบบหน้ามือเป็นหลังมืออย่างแน่นอน เหลือแค่ว่า เจมส์ และผองเพื่อนจะทำให้เราตื่นตาตื่นใจมากแค่ไหนกับการลุ้นเหรียญทองสมัยที่ 3 ของเขา เพื่อให้สมกับคำว่า "คิงเจมส์" หนึ่งในผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของกีฬาบาสเกตบอล
TAG ที่เกี่ยวข้อง