ทำความรู้จักกีฬายกน้ำหนักในโอลิมปิก

เป้าหมายการแข่งยกน้ำหนักมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการทำน้ำหนักให้ได้มากกว่าคนอื่น มันเป็นรูปแบบการแข่งที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา แต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา

กีฬายกน้ำหนัก มีการแข่งขันในโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกเมื่อปี 1896 ที่กรุงเอเธนส์ ซึ่งครั้งนั้นยังไม่มีการแบ่งรุ่นตามน้ำหนัก ใครยกน้ำหนักได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะโดยไม่ต้องคำนึงถึงรูปร่างและขนาดของนักกีฬา จนถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อผู้เข้าแข่งขันอย่างมาก ภายหลังในโอลิมปิกตั้งแต่ปี 1920 กีฬายกน้ำหนักได้ถูกบรรจุเป็นกีฬาหลักแต่ยังคงยึดกฎการไม่จำกัดรุ่นแบบเดิม จนกระทั่งในปี 1932 จึงเริ่มมีการแบ่งรุ่นน้ำหนัก และในปี 2000 ที่ซิดนีย์ มีการแข่งขันยกน้ำหนักประเภทหญิงเป็นครั้งแรก และยาวนานต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

ความท้าทายของร่างกายและจิตใจ

แม้จะเป็นการแข่งอันเรียบง่าย แต่การยกของที่มีน้ำหนักเกินกว่าคนทั่วไปจะทำได้นั้น นอกจากจะต้องผ่านการฝึกร่างกายมาเป็นอย่างดี เพื่อทำให้สามารถยกน้ำหนักในท่าต่างๆ ได้โดยไม่ผิดพลาด จนทำให้เสียคะแนน หรือเกิดอาการบาดเจ็บร้ายแรงต่อร่างกายแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งในการแข่งยกน้ำหนักคือสภาพจิตใจ ที่ต้องแบกรับความกดดันที่หนักหนาไม่ต่างจากบาร์เบลที่พวกเขาและเธอกำลังยกอยู่เลย

นอกจากอุปสรรคที่มาจากตัวนักกีฬาและน้ำหนักอุปกรณ์แล้ว คู่แข่งและบรรยากาศนับเป็นสิ่งที่สร้างความกดดันได้มากเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อมีการเรียกน้ำหนักที่อยู่นอกเหนือแผนที่ทีมวางไว้ นอกจากการแก้เกมด้วยการเรียกน้ำหนักสู้แล้ว การรักษาสภาพร่างกายให้พร้อมที่จะยกน้ำหนักสู้ต่อยังถือเป็นเรื่องใหญ่ที่โค้ชและนักกีฬาต้องเจอตลอดการแข่งขัน เนื่องจากนักยกน้ำหนักมีโอกาสเพียงสามครั้งในการยกแต่ละท่าเท่านั้น

บัลลังก์ที่ไม่สั่นคลอน

ตลอดประวัติศาสตร์โอลิมปิก สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศกลุ่มอดีตสหภาพโซเวียต นับว่าประสบความสำเร็จในการยกน้ำหนักอย่างมาก ซึ่งนับตั้งแต่การแข่งในปี 2004 จนถึงปี 2020 นักยกน้ำหนักชาวจีนได้รับรางวัลเหรียญทองในรุ่นไลต์เวตชาย มาโดยตลอด และในปี 2000 ฝั่งนักกีฬาหญิงก็ได้เหรียญทองไปถึง 14 จาก 35 เหรียญ เรียกว่าเป็นประเทศตัวเต็งที่ยากจะหาใครมาเทียบเคียงได้ ขณะที่ โตเกียว 2020 จอมพลังจากแดนมังกรกวาดไปถึง 7 จากทั้งหมด 14 เหรียญทอง

แม้ประเทศอื่นๆ จะพัฒนาตัวแทนนักกีฬาที่ขึ้นมาวัดฝีมือกับจีนได้อย่างสูสี แต่ก็เป็นเพียงบางรุ่นเท่านั้น แต่ขณะเดียวกันในการแข่งโตเกียว 2024 ที่จะมาถึงนี้ หลายชาติก็คาดหวังว่าจะมีนักกีฬาของตนที่สามารถสั่นคลอนเจ้าเหรียญทองนี้ได้ รวมถึงไทยที่ได้กลับมาลงแข่งอีกครั้ง