14 กรกฎาคม 2564
เป็นเวลากว่า 15 ปีที่ 'เบญ' สุเบญรัตน์ อินแสง นักกีฬาขว้างจักรหญิงได้สร้างผลงานไว้มากมายให้กับทัพนักกรีฑาทีมชาติไทย สถิติต่างๆ ที่เธอได้จารึกไว้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จได้เป็นอย่างดี เหรียญรางวัลที่แขวนไว้ภายในบ้านคือเกียรติยศที่เธอได้รับ
คำชื่นชม สรรเสริญและเสียงชัยโยโห่ร้องยังคงกึกก้องอย่างต่อเนื่อง เมื่อเบญสามารถคว้าตั๋วโอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่นได้สำเร็จนับเป็นโอกาสครั้งที่สองของเธอหลังจากที่เคยทำได้มาแล้วเมื่อ 5 ปีก่อนที่บราซิล
ทว่า กว่าที่เบญจะเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ เธอต้องเผชิญกับคำถากถาง คำพูดที่เสมือนใบมีดโกนกรีดลงกลางใจ คำหยามเหยียดที่อาจจะทำให้ใครบางคนล้มเลิกความฝัน แต่สำหรับหญิงจิตใจแกร่งอย่าง 'เบญ' เธอข้ามผ่านมาได้เพียงเพราะความตั้งใจที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่า "ฉันทำได้"
คำกรนด่าในวันนั้น
เรามีโอกาสได้พูดคุยกับเบญ หนึ่งในนักกีฬาที่จะได้ไปแสดงฝีมือในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กำลังจะมาถึงนี้ ในช่วงต้นของการสนทนาเสียงหัวล่อของคู่สายยังเล็ดลอดออกมาเป็นระยะนั่นแสดงให้รู้ว่าความอารมณ์ดีของเธอส่งผลให้แนวความคิดเป็นบวกและมองทุกสิ่งอย่างเป็นเรื่องปกติวิสัย
"ก่อนหน้าที่จะหันมาเอาดีทางกีฬาขว้างจักร หนูเล่นวอลเลย์บอลมาก่อนเพราะดัวยรูปร่างที่ตัวใหญ่กว่าใครในรุ่นครูจึงจับมาเล่นกีฬาชนิดนี้"
เบญ เล่าย้อนไปเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กหญิงวัย 15 ปี แต่ด้วยความสูง 178 เซนติเมตรในเวลานั้น ถือว่าเป็นบุคคลที่รูปร่างสูงใหญ่จึงไม่แปลกที่เธอจะถูกจับยัดให้ลงแข่งวอลเลย์บอล
"เกณฑ์การคัดเลือกไม่ได้มีอะไรมากเลยแค่หนูตัวสูงผู้อำนวยการก็เลือกให้ไปเล่นเป็นตัวแทนของโรงเรียน แรก ๆ ก็สนุกแต่ดัวยความที่มันเป็นกีฬาประเภททีมที่ต้องเล่นด้วยกัน ความคิดเห็นมันก็เลยต่างกันไป ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวหนูเล่นวอลเลย์บอลได้ประมาณปีครึ่งก็หยุดเล่น ส่วนหนึ่งก็อาจจะเพราะหนูไม่ถนัดกีฬาประเภททีมด้วยและส่วนหนึ่งก็มาจากการไม่เข้าใจกันในทีมแล้วก็กับโค้ชในตอนนั้นด้วยรายละเอียดอาจจะไม่ชัดเจนแต่ก็พอจำได้บ้าง"
ภาพจำอาจจะลางเลือนแต่เสียงที่กระแทกโสตประสาทของเบญในวันนั้นยังคงกังวาลมาจนถึงปัจจุบัน เธอบอกว่าคำพูดจากโค้ชคือจุดแตกหักที่ต้องหันหลังให้กับกีฬาประเภททีม
"รายการสุดท้ายที่พวกหนูลงแข่งในนามของโรงเรียนเหมือนกับว่าเราทำเต็มที่สุด ๆ แล้วแต่กลับไม่เป็นที่พอใจของโค้ชก็เลยโดนด่าหาว่าเราเล่นไม่ดี หนูเลยรู้สึกว่าในเมื่อเราพยายามเต็มที่แล้วแต่ทำไมมาด่าหนูอยู่คนเดียว ทำไมจ้องแต่จะมาว่าเราอยู่คนเดียวทั้งที่ก็เล่นกันเป็นทีม หนูก็นอยด์ จะบอกว่าด้วยความที่เราตัวใหญ่การเคลื่อนไหวมันก็ต้องช้ากว่าคนอื่น ๆ ในทีม การรับลูกก็อาจจะทำได้ไม่ว่องไวเหมือนคนที่ผอมเพรียว มันก็เลยไม่ถูกใจโค้ชกลายเป็นว่าหนูต้องโดน่าโดนว่า จริง ๆ ควรจะให้กำลังใจกันดีกว่ามั้ย ตอนนั้นหนูเลยมองว่าขอออกจากทีมดีกว่าจะได้ไม่ต้องมาถูกต่อว่าอีก"
ใครจะไปรู้ว่าการที่เบญถอนตัวเองออกมาจากทีมวอลเลย์บอลจะทำให้เธอได้เจอกับกีฬาที่นำไปสู่โอกาสที่ดีกว่ากับการได้ติดเยาวชนทีมชาติไปลุยยูธเอเชี่ยนเกมส์
เลือกเดินบนทางที่ใช่
เด็กหญิงที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าคือตัวแปรที่ทำให้ทีมวอลเลย์บอลของโรงเรียนต้องพ่ายแพ้ คำพูดที่บั่นทอนจิตใจเกือบจะทำให้เธอต้องกลายเป็นแพะรับบาป แต่ทว่า 2 ปีต่อมาโชคชะตาก็ทำให้เธอได้พบกับครูผู้ฝึกสอนกีฬาท่านหนึ่งที่พาให้เธอได้รู้จักกับกีฬาขว้างจักร
เบญบอกว่าเธอได้รู้จักกับครูผู้ฝึกสอนท่านหนึ่งที่ชี้ทางให้เธอได้พบกับกีฬาประเภทลู่ ทุ่มน้ำหนักคือกีฬาชนิดแรกที่เบญสัมผัสด้วยความที่สรีระสูงใหญ่กว่าใครในรุ่นราวคราวเดียวกัน ผู้ฝึกสอนจึงมองเห็นลู่ทางที่จะผลักดันให้เธอได้เดินในทางที่ถูกที่ควร
"ครูท่านสอนให้หนูเล่นทุ่มน้ำหนัก เราฝึกซ้อมกันมาจนได้โอกาสลงแข่งในกีฬาระดับอำเภอหนูดันทำผลงานได้ที่ 1 ก็เลยได้โควตาไปแข่งระดับจังหวัดแล้วก็ได้ไปแข่งต่อในระดับประเทศ ตอนนั้นมันเป็นการแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ทีนี่ครูก็เลยบอกว่าให้หนูลงแข่งไปเลยสองประเภททั้งทุ่มน้ำหนักแล้วก็ขว้างจักร ซึ่งหนูไม่รู้เลยว่ามันคืออะไรเล่นยังไง แต่ด้วยความที่หนูเชื่อมั่นในตัวครูผู้สอนพร้อมกับต้องการพิสูจน์ให้รู้ว่าเราก็ทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง"
เบญสารภาพว่าในช่วงเวลานั้นเธอไม่รู้ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนกับการได้มาจับลูกตุ่มเหล็ก แต่ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่บวกกับการที่ได้โค้ชผู้สึกสอนที่เชื่อใจซึ่งกันและกันทำให้เธอยังคงมุ่งมั้นแม้ทักษะเกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้แทบจะเป็นศูนย์เลยก็ตาม
"หนูเห็นคนอื่นเขาจะหมุนตัวตอนขว้างลูกเหล็กออกไป ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าวิธีการจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงตอนนั้นคิดไว้แค่ว่าจะต้องขว้างออกไปให้ไกลที่สุดก็พอ หนูยืนเฉยๆ แล้วก็เหวี่ยงแขนไปให้สุดแรงให้ลูกเหล็กมันพุ่งออกไปแล้วมันก็ทำได้ หนูไม่คิดเลยว่ามันจะทำได้แบบนั้น"
เบญยังบอกด้วยว่า จากการที่เธอตัดสินใจทำในสิ่งที่เธอเลือกลงนั้นเป็นการตัดสินใจที่คิดว่าถูกต้องที่สุดแล้ว จากที่เคยเป็นแพะรับบาปในกีฬาประเภททีม เธอคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าถ้าจะมีใครผิดพลาดอีกครั้งนี้เธอขอรับมันไว้ด้วยตัวเองทั้งหมด ไร้ซึ่งความกดดันใดๆ ถือว่าเธอได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
เกิดมาเพื่อทำลายสถิติ
ถ้าจะพูดว่าเบญเป็นมือใหม่ในกีฬาขว้างจักรก็คงไม่ผิดนัก เพราะทักษะในกีฬาชนิดนี้ของเธอจเท่ากับศูนย์ เริ่มนับหนึ่งในวันที่ลงแข่งแต่ด้วยความตั้งใจของเธอทำให้สามารถทำลายสถิติของการแข่งขันรอบคัดเลือกเอเชี่ยนยูธเกมส์
"ตอนนั้นที่หนูขว้างก็ทำลายที่ 39 เมตรมันเป็นสถิติของตัวเราเองแล้วก็เป็นสถิติใหม่ในรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปีสำหรับรายการที่ลงแข่ง ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องทำให้ได้แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขั้นทำลายสถิติ บอกกับตัวเองว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ตอนนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าหนูจะยืนขว้างได้ไกลถึง 39 เมตร ส่วนตัวหนูพอใจมากๆ กับสิ่งที่ทำได้"
เบญบอกด้วยว่านั่นคือจุดพลิกชีวิตของเด็กหญิงธรรมดาคนหนึ่งให้กลายมาเป็นที่รู้จักในวงการกีฬาจากจุดเริ่มต้นที่ไม่มีใครคาดคิดสู่การตบเท้าเข้าสู่รั่วเยาวชนทีมชาติไทย
"หนูไม่เคยคิดเลยว่าจะติดทีมชาติ ไม่มีอยู่ในหัวเลยจริงๆ ตอนไปแข่งคัดเลือกหนูยังไม่รู้เลยว่าแข่งคัดเลือกรายการอะไร ครูให้ไปก็ไปให้เล่นก็เล่น ตอนที่หนูรู้ว่าคัดติดทีมชาติหนูก็งงๆ ยังแอบคิดเลยว่านี่เราจะได้รับใช้ชาติได้ไปแข่งในระดับนานาชาติแล้วเหรอ งั้นเราก็ได้ไปเที่ยวต่างประเทศแล้วซินะ มันตื่นเต้นมาก"
เสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง เมื่อเบญย้อนนึกถึงวันที่รู้ตัวว่าได้รับใช้ชาติเป็นครั้งแรก ทั้งปลาบปลื้มและตื่นเต้นผสมปนเปกลายเป็นความสับสนไม่รู้จะเฮให้สุดเสียงหรือยืนครุ่นคิดว่านี่ความจริงหรือว่าฝัน
"มันมีความแตกต่างจากการแข่งในบ้านเราอย่างมาก ทั้งสถานที่ ทั้งบรรยากาศการแข่งขัน เหมือนกับมันทำให้รู้ว่าการจัดการแข่งขันในแต่ละระดับมันเป็นยังไงทีนี่ความกดดันเข้ามาเต็มๆ กังวลไปหมดทุกอย่างกลัวว่าจะทำไม่ได้ ไหนจะเรื่องทักษะการหมุนตัวขว้างหนูก็ไม่มีแต่ครั้งนี้หนูบังคับตัวเองแล้วว่าจะต้องหมุนตัวขว้างให้ได้เพื่อให้ได้สถิติที่ดีกว่าเดิม"
เบญบอกต่อว่า ด้วยหลักการแล้ว การยืนขว้างก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดแต่พอความไกลของตุ่มเหล็กจึงจำเป็นต้องอาศัยแรงเหวี่ยงของลำตัวให้ร่างกายเป็นจุดศูนย์กลางจากนั้นก็เริ่มหมุนลำตัวให้ได้แรงเหวี่ยงและขว้างลูกเหล็กออกไป ซึ่งมันจะพุ่งได้ไกลกว่าการยืนขว้างเป็นไหนๆ
"หมุนเลยๆ ไม่ต้องกลัว มั่นใจในตัวเอง หนูได้ยินเสียงผู้ฝึกสอนตะโกนบอกให้หนูทำแบบนั้น เพราะรู้ว่าหนูไม่กล้าแต่เขาเชื่อมั่นเรา ไม่กดดันอะไรในตัวเรา เขาให้กำลังใจหนูตลอดก็เลยทำได้และทำได้ดีเกินคาดด้วยซ้ำ"
จาก 39 เป็น 42 เมตร เบญคว้าอันดับที่สองในการแข่งขันเอเชี่ยนยูธเกมส์ที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมกับทำลายสถิติของตัวเองได้อีกครั้งและเริ่มขยับเข้าใกล้สถิติของรายการด้วยการตามหลังเพียง 3 เมตรเท่านั้น
อีก 2 ปีให้หลัง เบญก้าวขึ้นมาติดทีมชาติชุดใหญ่ได้สำเร็จและแจ้งเกิดได้ตั้งแต่ลงแข่งขันรายการใหญ่ของตัวเธอเองได้เป็นครั้งแรกจากการคว้าเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศอินโดนีเซียพร้อมกับทำลายสถิติซีเกมส์ได้อีกครั้งด้วยระยะ 52 เมตร หลังจากที่เริ่มนับหนึ่ง เบญก็ครองเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ในกีฬาขว้างจักรติดต่อกันได้อีก 4 สมัยซ้อน
ทั้งยังเป็นเจ้าของสถิติใหม่ในกีฬาซีเกมส์ครั้งล่าสุดที่ประเทศฟิลิปินส์ด้วยระยะ 60.33 เมตร พร้อมกับสร้างสถิติประเทศไทยที่ 61.97 เมตร ไม่แน่ว่าสถิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังจะต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของเบญอีกครั้งก็เป็นได้
ช่างมัน ฉันไม่แคร์
"ตัวใหญ่อย่างกับถังแก๊ส" คำพูดที่กระแทกใจของเบญเมื่อครั้งที่เธอถูกเพื่อนรุ่นเดียวล้อเล่นอยู่เป็นประจำ คำเหยียดหยามและดูถูกหรือล้อเลียนปมด้อยถูกพ่นออกมาด้วยความสนุกปากโดยไม่นึกถึงสภาพจิตใจของผู้ฟังในบางคนอาจน้อยเนื้อต่ำใจคิดเตลิดไปไกลจนถึงขั้นคิดสั้น แต่กับเบญเธอย้ำกับตัวเองเสมอว่า "ช่างมันดิ"
"พวกเขาคงคิดว่ามันเป็นความแปลกประหลาดกับการที่เห็นรูปลักษ์ของเราก็เลยเอาหนูไปเปรียบเทียบกับของใหญ่อย่างถังแก๊สบ้าง ถังน้ำบ้าง ช้างบ้าง ยอมรับว่ามันก็อารมณ์โมโหเหมือนกันนะ แต่หนูก็คิดว่าช่างมันเพราะมันไม่ใช่ความจริง เราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาว่า หนูพยายามอยู่กับความจริงมากกว่า แต่หนูก็ไม่เคยไปบอกให้พวกเขาหยุดพูดหรือหยุดล้อเลียนหนูแบบนั้นถ้าอยากจะพูดก็พูดไป ถ้าเขาบอกว่า เฮ้ย!ตัวใหญ่นะ ซึ่งมันก็จริงเพราะหนูเป็นคนตัวใหญ่พยายามคิดไปในทิศทางบวกและคิดแค่ว่าสักวันหนึ่งจะทำให้เห็นว่าจุดที่เพื่อนๆ ล้อเลียนในวันนั้นพอมาถึงวันนี้หนูกลายมาเป็นที่ยอมรับในสังคมไปแล้ว"
แน่นอนว่ามันอาจจะต้องเจ็บปวดกับคำพูดเสียดสีเหล่านั้น แม้จะต้องฝืนทนรับฟังอย่างไม่เต็มใจ แต่เบญก็ไม่เคยเอยปากต่อว่าหรือโต้เถียงกลับไป เธอมองว่าเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ถ้าจะเสียเวลาอธิบายความ ปล่อยให้เวลาและการกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์ให้คนที่เคยดูถูกเธอต่างๆ นานาหันกลับมาชื่นชม
"หนูเก็บคำพูดของคนอื่นมาเป็นเรื่องผลักดันให้กับตัวเอง พยายามจะทำให้พวกเขารู้ว่าตัวใหญ่ๆ แบบนี้ก็จะทำอะไรที่ตั้งใจให้สำเร็จ คำบูลลี่พวกนี้ไม่ได้ทำให้หนูลดความตั้งใจลงไปเลย ทุกวันนี้เพื่อนๆ ที่เคยดูถูกหนูไว้ก็กลับมายอมรับในสิ่งที่หนูทำได้"
คงจะไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมนักหากจะปล่อยให้คำพูดเหล่านั้นล่องลอยสวนกระแสลมเข้ากระทบรูหู เบญเพิ่มเติมว่า มันจะดีกว่าหากเปลี่ยนคำพูดเหล่านั้นมาเป็นให้กำลังใจ
"ในแต่ละคนก็มีรูปร่างหรือจุดดีจุดด้อยแตกต่างกันอยู่แล้ว หน้าตาอาจะสวยหรือไม่สวยแต่เขาอาจจะมีความสามารถในด้านอื่น คนเราก็อาจจะมีสิ่งที่ดีที่ต่างกันก็ไม่อยากให้เหมารวม แบบว่ามองแล้วคนนี้อ้วนทำอะไรก็ล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แต่อาจจะมีสักวันหนึ่งที่คนๆ นั้นคนที่คุณเคยดูถูก คนที่คุณเคยเหยียดหยามหรือมองข้าม เขาอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ก็ได้ก็เลยไม่อยากให้คิดกันแบบนั้น
แต่ในปัจจุบันหนูคิดว่าคำบลูลี่หรืออะไรพวกนี้มันดูซอฟต์ลงไปเยอะ อาจจะเพราะว่าสังคมมันเปลี่ยนไปที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองจุดด้อยเพียงอย่างเดียว เริ่มมองกันที่ความสามารถมากขึ้น มองลงไปที่จิตใจ มองถึงความสำเร็จของคนๆ นั้นมากกว่า แต่ในยุคสมัยหนึ่งมันอาจจะเป็นคำพูดที่ชินปากกับการได้พูดล้อเลียนปมด้อยของคนซึ่งมันคงเป็นเรื่องปกติในสังคมสมัยนั้น แต่ตอนนี้ก็เริ่มเห็นมีคนออกมาบอกให้หยุดคำบูลลี่เราก็ได้เห็นสังคมมันพัฒนาขึ้นไปในด้านดี เริ่มมีคนมาซัพพอร์ตทำให้คำดูถูกอะไรต่างๆ มันลดลง ถ้าตอนนั้นมีคนแบบนี้ก็น่าจะดีเหมือนกัน สังคมอาจจะพัฒนาไปได้เร็วกว่านี้ไปแล้วก็ได้"
ความตั้งใจของเบญต้องการที่จะพิสูจน์ให้พวกปากสวะเหล่านั้นได้เห็นคือ มุ่งมั่นกับความฝันว่าสักวันหนึ่งจะต้องประสบความสำเร็จในสิ่งที่เลือกให้ได้และในท้ายที่สุดเธอก็สามารถก้าวข้ามผ่านคำพูดเหล่านั้นมาได้พร้อมกับบอกตัวเองเสมอว่า "ช่างมัน"
สิ่งที่เบญต้องพานพบมาตั้งแต่ที่ครั้งยังเด็ก ผลักดันให้เธอสามารถเอาชนะคำดูถูกพวกนั้นมาได้ เหมือนเป็นการตบหน้าเบา ๆ เพื่อให้รู้ว่า "คนอย่างฉันก็ทำได้เหมือนกัน" ความสำเร็จที่เธอได้รับไม่ว่าจะเป็นแชมป์เปี้ยนซีเกมส์หรือคว้าแชมป์เอเชียก็ทำได้มาแล้ว รวมไปการเข้ารวมมหกรรมกีฬาของมนุษยชาติอย่าง 'โอลิมปิกเกม' ก็เคยผ่านประสบการณ์ครั้งพิเศษมาแล้วหนึ่งครั้งที่ริโอ เดอจาเนโร่ ในปี 2016
และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เบญสามารถคว้าตั๋วโอลิมปิก 2020 ที่ญี่ปุ่นได้สำเร็จ ความมุ่งมั่นบวกกับความเชื่อมั่นและหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่งของเธอส่งผลให้มีวันนี้ เบญ ทิ้งท้ายไว้ว่า
"จะอ้วน จะดำ อย่าไปสนใจ ทำในสิ่งที่คิดว่าดีเท่านั้นก็พอ"
TAG ที่เกี่ยวข้อง