stadium

กันตภณ หวังเจริญ : เรียนรู้ แก้ไข เติบโต และภารกิจพิชิตโอลิมปิกเกมส์

6 กรกฎาคม 2564

เป็นเรื่องที่ปฎิเสธได้ยากหากจะบอกว่านักตบลูกขนไก่ประเภทชายเดี่ยวของไทยที่ฟอร์มดีสุดตลอดระยะ 3-4 ปีมานี้ คงหนีไม่พ้น 'กันต์' กันตภณ หวังเจริญ เด็กหนุ่มวัย 22 ปี ด้วยผลงานส่วนตัวที่ร้อนแรงต่อเนื่องส่งผลให้เขาสามารถตบเท้าก้าวเข้าสู่โอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จ

 

ทว่าก่อนที่เขาจะก้าวมาถึงจุดนี้ กันตภณ เกือบจะต้องดิ่งดับเพราะความผิดพลาดที่ตัวเขาเองได้เผลอก่อขึ้น แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เขารำลึกเสมอคือ 'ขอโอกาสได้แก้ตัว' ท้ายที่สุด กันตภณ สามารถก้าวข้ามความผิดหวังและพร้อมกลับไปพิสูจน์ตัวเองบนเส้นทางลูกขนไก่อีกครั้งเพื่อหวังลบรอยร้าวในใจ

 

 

 

ตีแบดเพื่อสุขภาพ

 

“ผมไม่ได้หวังไกลถึงการติดทีมชาติ” ประโยคตั้งต้นที่สะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายของกันตภณในช่วงขวบวัยที่ยังเป็นเด็ก ณ เวลานั้นการได้แบ่งสันปันส่วนในเรื่องของเวลาไปกับการได้ร่วมออกกำลังกายกับสหายในวัยเดียวกันถือว่าพึงพอใจแล้วสำหรับหนุ่มน้อยวัย 9 ขวบ

 

“ตอนเด็กๆ ผมป่วยบ่อยคือเป็นโรคภูมิแพ้แล้วทีนี้ครอบครัวก็ได้ไปปรึกษากับหมอเขาก็แนะนำให้เราออกกำลังกาย พอดีกับที่คุณพ่อได้ไปเห็นว่าทางสโมสรที-ไทยแลนด์ที่อยู่แถว ๆ บ้านมีการเปิดสอนกีฬาแบดมินตัน ท่านก็เลยพาผมไปเพื่อให้ลองเล่นดูหลังจากนั้นร่างกายผมก็กลับมาแข็งแรงเหมือนปกติ โรคภูมิแพ้ก็หายไปไม่ป่วยอีกเลย ตอนแรกผมคิดว่าแค่ได้มาเล่นสนุกๆ เพื่อผ่อนคลายจากการเรียน ผมคิดแค่นั้นเลยไม่ได้ฝันไกลถึงการติดทีมชาติ” 

 

กันต์บอกต่อด้วยว่า ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองไม่เคยสนใจในด้านกีฬาประเภทใดเลย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญในการที่จะทำให้สุขภาพร่างกายของเขานั้นอ่อนแอลงและเมื่อกันต์เริ่มคิดว่ามันคืออุปสรรคชิ้นโตในการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้า เขาจึงหันหน้าเข้าหากีฬาโดยมุ่งไปที่แบดมินตันและราวกับว่าโชคชะตาถูกขีดเขียนไว้แล้ว เพราะหลังจากที่กันต์ใช้เวลาอยู่กับการเรียนศาสตร์ของลูกขนไก่ได้ประมาณ 1 ปีเศษ ครูผู้ฝึกสอนก็มองเห็นแววที่เฉิดฉายประกายออกมาเป็นออร่าจากตัวของกันต์ทำให้เขาถูกดันให้เข้าร่วมแข่งขันในกีฬาระดับเยาวชน นี่จึงเป็นจุดกำเนิดเส้นทางนักกีฬาแบดมินตันดาวรุ่งพุ่งแรงนับแต่นั้น

 

“โค้ชที่สอนผมเขาบอกว่าจะให้ผมหันมาจริงจังกับแบดมินตัน จึงเริ่มมีการสอนที่หนักขึ้นและส่งผมลงแข่งขันในรายการต่างๆ ระดับเยาวชนเพื่อเก็บประสบการณ์ แต่ถึงตรงนี้ผมก็ยังไม่ได้มองไกลไปถึงการติดทีมชาตินะ แต่พอถึงอายุประมาณ 12-13 ปีผมก็เริ่มซ้อมมากขึ้น จริงจังมากขึ้น ผมรู้สึกว่าอยากจะพัฒนาตัวเองให้ไปได้ไกลกว่านี้และลึกๆ แล้วผมก็มั่นใจในฝีมือว่าผมทำได้” 

 

ด้วยความที่กันต์ได้เข้าร่วมฝึกทักษะการตีลูกขนไก่จากสโมสรที-ไทยแลนด์ตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขาสามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งก้าวสู่วัย 17 ปี กันต์ได้มีโอกาสเข้ามาฝึกทักษะเพิ่มเติมกับทางสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย จนฝีไม้ลายมือไปที่เข้าตาผู้ใหญ่ในสมาคมฯ และในที่สุดกันต์ก็ถูกดันให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาเยาวชนทีมชาติแบบไม่รู้ตัว

 

 

 

ผู้สร้างประวัติศาสตร์วงการลูกขนไก่ไทย

 

เหรียญรางวัลมากมายที่กันตภณได้รับมาคล้องคอล้วนมาจากการฝึกซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง ตั้งแต่ที่เขารู้ตัวว่าเป็นตัวแทนของทีมชาติไทย ผลงานที่โดดเด่นเห็นได้ชัดที่สุดคือ การผงาดขึ้นไปยืนบนโพเดี้ยมในเวทีชิงแชมป์โลกปี 2019 ด้วยการได้เหรียญทองแดงประภทชายเดี่ยวเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของวงการแบดมินตันไทย

 

“พอเราโตขึ้นความยากในระดับชุดใหญ่มันมีมากกว่าเยอะ เหมือนกับว่าเราต้องออกไปสู้กับนักกีฬาจากต่างประเทศมันไม่ใช่แค่ในไทย คือเราได้เป็นตัวแทนของชาติแล้ว แต่ต่างประเทศค่อนข้างเข้มข้นกว่าเราเยอะ ในเรื่องของฝีมือเราต้องไปเจอกับคนอื่นๆ ที่เขี้ยวกว่า แต่ผมไม่เคยรู้สึกกดดันอะไรเลยกลับมีความสุขทุกครั้งที่ได้ตีแบดมินตัน ผมคิดแบบนี้มากกว่า ผมโฟกัสสมาธิไปที่การซ้อมและการแข่งขันอย่างเดียวไม่ได้สนใจเรื่องภายนอก ซึ่งมันก็อาจจะส่งผลให้ผลงานออกมาดีแบบนี้” 

 

ในหน้าประวัติศาสตร์ของกีฬาแบดมินตันชายไทย หากจะยกให้ ‘เจ้าแมน’ บุญศักดิ์ พลชนะ คือตำนานที่ขึ้นทำเนียบนักกีฬายอดเยี่ยมเบอร์ต้นของโลก สำหรับ ‘เจ้ากันต์’ แล้วก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่จะสามารถทำได้ในระดับเดียวกันกับเจ้าแมน ปัจจุบันกันต์ถูกจัดอันดับให้อยู่ในตำแหน่ง 18 ของโลก อันดับสูงสุด 12 ของโลกเมื่อปี 2020 เท่านี้ก็น่าจะทำให้เรารู้แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ของจริง

 

 

 

“เรารู้ว่าเราเล่นผิดตรงไหน เล่นพลาดตรงไหนก็นำกลับมาแก้ไข พยายามไม่ไปสนใจว่าใครจะว่ายังไง ผมไม่ได้คิดตรงนั้นเลย ผมคิดแค่ว่าในการแข่งรายการนี้เราพลาดยังไงแล้วจะหาวิธีแก้ทางยังไง พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและเต็มที่กับมันก็พอ” 

 

กันต์เผยถึงเคล็ดลับในการที่ผลักดันให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในนามทีมชาติชุดใหญ่ มันไม่ใช่การแข่งขันในระดับเยาวชนที่กันต์คุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือการเติบโตที่มาพร้อมกับคำว่าหน้าที่รับผิดชอบและเขาพยายามพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลาว่าสามารถทำได้ ด้วยจิตใจที่เข้มแข็งบวกกับความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อมส่งผลให้กันต์เข้าไปสู่รอบสุดท้ายของการแข่งขันโอลิมปิกได้สำเร็จ

 

"ผมโชคดีที่ได้โค้ชคนใหม่ที่มาจากอินโดนีเซีย เขาเข้ามาเปลี่ยนการเล่นและอะไรหลายๆ อย่างให้กับเรารู้สึกว่าวิธีคิดเราเปลี่ยนไปด้วยทั้งในสนามและนอกสนาม การใช้ชีวิตยังไง ควรเป็นแบบไหนเหมือนว่ามีคนคิดวิถีทางเดินให้เราโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากทำตามในสิ่งที่เขาแนะนำ ผมรู้สึกว่าตอนนั้นผมเล่นด้วยความสบายใจมากๆ ไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย โค้ชย้ำตลอดว่าอย่าไปซีเรียสกับอะไรต่างๆ ให้มาก พยายามตีให้ดีที่สุดในเวลาที่เราลงสนาม ซ้อมมายังไงเล่นให้ได้แบบนั้น ซึ่งผมได้บทเรียนจากโค้ชคนนี้เยอะมาก"

 

 

 

ผิดพลาด แก้ไข เติบโต

 

ตลอดระยะเวลาในขวบปี 2019 ถือว่าเป็นปีทองแห่งความสำเร็จของกันตภณ ในการแข่งขันรายการต่างๆ ตลอดในปีนั้นเขาสามารถเก็บคะแนนแร็งกิ้งและการผ่านรอบควอลิฟายเพื่อหาโควตาสุดท้ายไปโอลิมปิก ณ กรุงโตเกียว กันต์สามารถทำผลงานออกมาได้ดีเป็นที่น่าพอใจจนกลายเป็นที่จับตามองว่านี่คือหนึ่งในนักกีฬาม้ามืดที่จะคว้าเหรียญรางวัลกลับบ้าน

 

นั่นคือความโดดเด่นผลงานในสนาม แต่กลับกันภายนอกคอร์ดการแข่งขัน เส้นทางชีวิตของกันต์เกือบดับเพราะความคึกคะนองที่เขาเคยพลาดพลั้งมาก่อนหน้านี้จนเกือบจะทำให้กันต์กลายเป็นเพียงเด็กในสายตาของผู้คนบนโลกโซเชี่ยล

 

ช่วงปลายปี 2018 เกิดกระแสดราม่าอยู่พักใหญ่กับการที่เจ้ากันต์โพสต์คลิปวิดีโอสั้นๆ ด้วยถ้อยคำเชิงหมิ่นบรรดาแฟนคลับที่ตามมาให้กำลังใจ คำบางคำที่เขาพลั้งปากเกือบจะทำให้ต้องหมดที่ยืนในสังคม แต่ในเมื่อกันต์รู้ตัวว่ามันคือความคิดที่ผิดมหันต์กับการกระทำที่ขาดความยั่งคิด เขากล้ายืดอกรับในสิ่งที่ผิดพลาดและพร้อมจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นอีกครั้ง

 

"มันเป็นความผิดพลาดที่ผมไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น หลายคนเข้ามาคอมเม้นต์ต่อว่าในสิ่งที่ผมทำลงไป ผมก็บอกไม่ถูกว่าถ้าเป็นคนอื่นจะรู้สึกยังไง แต่สำหรับผมๆ คิดว่ามันเป็นการกระทำที่ขาดความยั้งคิดของตัวผมเอง ซึ่งมันมีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ ผมก็ยอมรับ" 

 

 

 

กันต์เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เกือบจะทำให้เขาหมดที่ยืนในสังคมและบอกต่อด้วยว่า "ถามว่าผมรู้สึกผิดมั้ย มันรู้สึกผิดแน่นอน มันเป็นความคึกคะนองในวัยเด็กซึ่งในตอนนั้นผมอาจจะยังมีความคิดที่ไม่โตเป็นผู้ใหญ่มากพอเลยทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด แต่ก็เข้าใจได้ว่าโลกโซเชียลมันไหลไปเร็ว มีทั้งคนเข้ามาต่อว่าและให้กำลังใจ แต่ผมไม่ได้โฟกัสไปที่จุดนั้นมากเพราะผมมีหน้าที่ๆ จะต้องทำ ผมเลือกที่จะปิดการสื่อสารบนโลกออนไลน์ไปเลย เพราะเราต้องกลับมามีสมาธิในการซ้อมและการแข่งขันให้เร็วที่สุด เท่าที่ผมทำได้ในตอนนั้นก็คือขอโทษและขอโอกาสแก้ตัว" 

 

กันต์ยอมรับอย่างลูกผู้ชาย และความผิดพลาดครั้งนั้นเองจึงเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยสอนให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีระเบียบและขั้นตอนทางความคิดมากขึ้น เขายังบอกต่อว่า การที่เราเป็นเด็กทำอะไรยังขาดการยั่งคิดแต่ในเมื่อมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ยังคงต้องเติบโตขึ้นควรให้ความคิดขยับโตตามวัยขนาบข้างไปด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นเด็กวันยังค่ำในสายตาของผู้คนอื่นที่มองเข้ามา

 

"ตอนเป็นวัยรุ่นอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดมากแต่พอเราโตขึ้นต้องคิดให้มากกว่าทำ" กันต์ทิ้งท้ายการสนทนาในช่วงนี้อย่างมีนัยยะ

 

นับเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่ช่วยสอนให้เขาเติบโตขึ้น รู้จักกับคำว่าขอโทษเมื่อเวลาทำผิด และกล้าเผชิญกับปัญหาและหาทางแก้ไขอย่างเป็นขั้นตอน

 

 

 

กัาวสู่โอลิมปิกเพื่อเทียบชั้นระดับโลก

 

ในปี 2019 กันตภณมุ่งมั่นกับการเก็บคะแนนเพื่อฝันที่จะได้เข้าร่วมมหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิกให้ได้ เขาตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อไปให้ถึงฝัน ต้องการที่จะเจริญรอยตามนักแบดมินตันระดับตำนานอย่างบุญศักดิ์ที่ทำสำเร็จถึง 5 ครั้งกับการได้เล่นในโอลิปิก รอบสุดท้าย นี่จึงเป็นก้าวแรกของกันต์ ที่จะผลักดันให้เขาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิต พร้อมกับยกระดับวงการแบดมินตันชายไทยให้เป็นที่รู้จักในสายตาโลกอีกครั้ง

 

"โอลิมปิกมันไม่ใช่ทัวร์นาเม้นท์ทั่วไปเพราะ 4 ปีถึงจะมีสักครั้ง รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ มีความขลัง อีกอย่างใครๆ ก็อยากได้เหรียญรางวัลในรายการนี้ ผมไม่ได้วางเป้าหมายกับโอลิมปิกครั้งนี้ไว้สูง แค่ทำให้ได้ตามที่ซ้อมมา มองแค่ว่าในแต่ละรอบเราเจอกับใครแล้วจะชนะเขาได้ยังไงมากกว่า แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้เหรียญใดเหรียญหนึ่งในการแข่งขันครั้งนี้ ถามว่ากังวลแค่ไหน ผมบอกเลยว่าไม่เลยเพราะผมคิดว่าผมเตรียมตัวมาดีแล้ว ถ้าเราไปฝ่อก่อนแข่งกำลังใจมันจะเสียผมเลยตัดตรงนั้นทิ้งไปเลย"

 

อีกหนึ่งความฝันที่เป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยไปกว่าการที่ได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก คือการที่กันตภณต้องการจะยกระดับมาตรฐานแบดมินตันชายไทยขึ้นมาเทียบชั้นนานาประเทศเพราะเจ้าตัวมองว่านานมากแล้วที่ไม่มีนักกีฬาชายไทยก้าวขึ้นไปสู่จุดนั้นได้เลย

 

 

"ผมรู้สึกว่าประเภทชายเดี่ยวน่าจะเป็นประเภทที่ยากที่สุด ในบรรดา 32 คนของโลกนี่คือของแข็งทั้งหมดไม่มีใครอ่อนไปกว่ากันเลย ส่วนตัวผมมองว่าก็จะมีพี่แมนในประเภทชายเดี่ยวที่ครองมาหลายปีมากแต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครที่จะขึ้นไปถึงจุดนั้นเลย ก็รู้สึกว่าอยากจะยกระดับประเภทชายเดี่ยวขึ้นไปเทียบชั้นหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับที่พี่แมนเคยทำไว้ให้ได้มากที่สุด ต้องการจะติด 1 ใน 10 ของโลกให้ได้เพื่อทำให้ต่างชาติเห็นถึงพัฒนาการของไทยเรา"

 

อาจจะดูเหมือนยากแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ กันต์ยังบอกต่ออีกว่า เขาพร้อมที่จะเป็นใบเบิกทางทะยานขึ้นไปสู่จุดหมายนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างแก่นักกีฬารุ่นหลังให้ก้าวตามเส้นทางที่เขาได้กรุยไว้

 

"ถ้าผมสามารถที่จะขึ้นไปยืนจุดนั้นได้ แล้ววันหนึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องยากที่ทุกคนจะทำให้ได้เหมือนผม อาจจะมีคนที่ 2 3 4 ตามมาอีกเรื่อยๆ มันจะส่งผลเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มเล่นแบดมินตัน ขนาดผมอายุเท่านี้ยังทำได้แล้วเด็กรุ่นใหม่ๆ ทำไมจะทำไม่ได้"

 

ถ้าการขึ้นไปสู่ท็อปแร็งกิ้งของนักกีฬาแบดมินตันรุ่นใหม่ในประเภทชายเดี่ยวบนเวทีโลกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องให้เห็นเป็นรูปธรรม นั่นเท่ากับว่าอีกหนึ่งความฝันของกันตภณก็อาจจะกลายเป็นความจริง เมื่อถึงเวลานั้นเราอาจจะมีนักแบดมินตันชายไทยหน้าใหม่เติบโตขึ้นในวงการแบดมินตันโลกพร้อมกับประกาศให้รู้ว่า … คนไทยก็ทำได้เหมือน 'กันต์' 


stadium

author

จิรวัฒน์ จามะรี

ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอวกาศ ในวันที่ฝนตกลงที่หน้าต่างในตอนเช้า

La Vie en Rose
stadium olympic