stadium

ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ ชีวิตที่สอนให้รู้ว่าความสำเร็จเริ่มต้นที่ก้าวแรก

27 มิถุนายน 2564

"เรือเล็กควรออกจากฝั่ง" ประโยคที่ยังคงติดหูใครหลายคนมาจนถึงวันนี้ เป็นประโยคที่เสมือนการท้าทายคลื่นลมในทะเล ต่อให้พัดโหมกระหน่ำหนักแค่ไหนก็ไม่กลัวพร้อมที่จากออกเรือเพื่อเผชิญหน้า 

 

ที่ต้องขอหยิบยกประโยคดังที่กล่าวข้างต้นมาเป็นหัวข้อในการเล่าเรื่องเพราะเราจะพาไปรู้จักกับ ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ นักวินด์เซิร์ฟหนุ่มผู้มุ่งมั่นและมีฝันเมื่อครั้งเยาว์วัยว่า "สักวันหนึ่งจะต้องไปต่างประเทศเพื่อเล่นโอลิมปิกให้ได้" 

 

ณัฐพงษ์ โพธิ์นพรัตน์ หรือ โอ๊ต นักวินด์เซิร์ฟทีมชาติไทยเจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ 4 สมัยซ้อน ผู้ที่คว้าเหรียญเงินจากเอเชียนเกมส์ 2014 ที่ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมกับผ่านการแข่งขันในเวทีระดับโลกอย่างโอลิมปิก 2016 ที่บราซิลมาแล้ว ล่าสุดเขาก็ผงาดคว้าแชมป์ในการแข่งขันวินด์เซิร์ฟชิงแชมป์เอเชีย 2021 ที่ประเทศโอมานพร้อมกับคว้าสิทธิ์เข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ได้เป็นผลสำเร็จ

 

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้โอ๊ตก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ต้น ๆ ในทีมชาติไม่ใช่เหรียญรางวัลที่เขาได้รับแต่เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เริ่มแล่นเรือ

 

 

 

1 ใน 10 เมตรแรกสำคัญที่สุด

 

ย้อนความกลับไปเมื่อครั้งที่โอ๊ตยังคงเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเล่นท้าแรงลมอยู่ริมหาดจอมเทียนเมืองพัทยา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแคมป์เก็บตัวของนักแล่นเรือทีมชาติไทย ทั้งบรรดาเหล่าสต๊าฟโค้ชผู้ฝึกสอนรวมไปถึงทัพนักกีฬาวินด์เซิร์ฟต่างแวะเวียนเปลี่ยนหน้ามาให้พบเจอทำให้โอ๊ตชินตากับภาพการฝึกซ้อม ด้วยความคุ้นชินนั้นเองโอ๊ตจึงเกิดการซึบซับและกลายเป็นภาพจำมาจนทุกวันนี้

 

"ด้วยความที่เราอยู่กับทะเลมาตั้งแต่เด็กและครอบครัวเปิดร้านอาหารจริงๆ ครอบครัวของผมรู้จักกับนักกีฬาและทีมงานผู้ฝึกสอนเพราะเขาเคยมานั่งกินข้าวที่ร้านในช่วงที่มาเก็บตัวฝึกทีมชาติ ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะยังเด็ก พอมาถึงจุดนึงช่วงที่เขามีการจัดแข่งบริเวณหน้าหาดตรงนั้นผมก็มีโอกาสไปดูพอดีมีรุ่นพี่ที่รู้จักกันได้ลงแข่งด้วย เลยรู้สึกสนใจอยากลองแข่งบ้าง" โอ๊ตย้ำเตือนความทรงจำอีกครั้งพร้อมกับบอกต่อว่า ตัวเขาเองหลงเสน่ห์ของวินด์เซิร์ฟเข้าอย่างจังโดยไม่รู้ตัวนับแต่นั้น

 

แรกเริ่มเดิมที โอ๊ตไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับกีฬาเลยแม้แต่น้อยอย่างมากก็ทำได้แค่ลองสัมผัสกับลูกฟุตบอลดูบ้างเป็นครั้งคราวนอกเหนือจากนี้เท่ากับศูนย์ แต่ด้วยความโชคดีที่โอ๊ตมีมิตรสหายคนสนิทที่เคยเป็นถึงนักกีฬาเยาวชนช่วยปูพื้นฐานการเล่นวินด์เซิร์ฟให้กับเขาจนเกิดหลงรักกีฬาทางน้ำชนิดนี้เข้าอย่างจัง

 

 

 

"ในกลุ่มผมจะมีเพื่อนอยู่ประมาณ 4-5 คนที่เล่นวินด์เซิร์ฟ แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่เริ่มเล่นก่อนหน้านี้มาประมาณ 2 ปี ตอนนั้นเขาเป็นถึงเยาวชนทีมชาติ ผมก็ได้เขานี่แหละมาช่วยสอน" โอ๊ตบอกและว่า 

 

"ด้วยความที่ผมเป็นคนตัวเล็กจะเรียกว่าผอมแห้งแรงน้อยก็ได้ มันก็เลยเป็นอุปสรรคในการฝึกซ้อมในช่วงแรกเพราะเราไม่มีแรงพอที่จะยกใบเรือขึ้นจากน้ำ ซึ่งมันหนักมาก ไหนจะต้องบาลานซ์ตัวบนบอร์ดอีก ซึ่งถ้าใครแข็งแรงหน่อยก็จะเป็นง่าย แต่สำหรับผมค่อนข้างจะเป็นยากกว่าคนอื่น ในบรรดาเพื่อน 4-5 คนที่เริ่มเล่นด้วยกันมา ฝีมือผมนี่คือรั้งท้ายเลย" โอ๊ตเปิดอกยอมรับแกมติดตลกเล็กๆ พอทำให้ยิ้ม

 

แต่ร่างกายไม่ใช่อุปสรรคในการเล่นวินด์เซิร์ฟสำหรับโอ๊ต แม้ว่าเรี่ยวแรงจะยกใบเรือขึ้นจากน้ำน้อยนิดนักแต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นเพื่อจะทำตามฝันที่มีมาตั้งแต่เด็กทำให้เขาฮึกเหิมพอที่จะดึงใบเรือให้แล่นไปข้างหน้าตามตั้งใจ

 

"มันจะมีบางช่วงที่ผมเริ่มรู้สึกว่าใบเรือทำไมมันหนักจัง แต่พอเริ่มดึงใบเรือขึ้นมาได้นิดนึงแล้วเราก็มีกำลังใจขึ้นมามันทำให้มีกำลังใจมากขึ้นและอยากจะทำมันต่อ ขอแค่ให้เรือใบมันแล่นออกไปสัก 1 เมตร 5 เมตร 10 เมตรมันก็มีความหวังสำหรับผมแล้วและที่ทำให้ผมยังเล่นต่อไม่ท้อเพราะอยากทำตามความฝันให้ได้ ฝันของเราคือต้องไปแข่งต่างประเทศแต่พออายุมากขึ้นความคิดเราก็เปลี่ยนไปจากที่จะไปแข่งต่างประเทศก็มุ่งหวังไปถึงโอลิมปิก" โอ๊ตยังคงหนักเน้นในความตั้งใจของเขาที่มีมาตั้งแต่วัยเยาว์

 

เห็นได้ชัดว่า สรีระรูปร่างไม่ใช่ประเด็นหลักปักใหญ่ขอแค่มีหัวจิตหัวใจที่ใหญ่พอพร้อมจะก้าวออกไปท้าทาย แม้คลื่นลมแรงก็ทัดทานเขาไว้ไม่อยู่

 

 

 

หัวใจสำคัญคือการฝึกฝน

 

โอกาสมักจะเป็นของผู้ที่ไขว้คว้าเสมอ เฉกเช่นเดียวกันกับที่โอ๊ตมีโอกาสได้เข้าร่วมในแคมป์ทีมชาติที่มาเก็บตัวบริเวณหาดจอมเทียน การเดินเข้ามาหาของคำว่าโอกาส ที่ถูกหยิบยื่นให้จากโค้ชผู้ฝึกสอนระดับทีมชาติไทย เมื่อโอกาสมายืนอยู่หน้าบ้านมีหรือที่เขาจะปฏิเสธคำเชิญชวน

 

"ช่วงที่ทีมชาติเขาเก็บตัวกัน ผมก็เล่นวินด์เซิร์ฟอยู่แถวๆ หน้าหาดนั้น เขา (โค้ชผู้ฝึกสอนทีมชาติเวลานั้น) ก็ช่วยสอนจากข้อผิดพลาดว่าควรยืนอย่างไร ดึงใบขึ้นอย่างไร ผมใช้เวลาซ้อมอยู่นานพอสมควรเพราะมีเวลาแค่ช่วงเย็น กลางวันต้องไปเรียนหนังสือ ถ้าวันไหนลมแรงก็ซ้อมไม่ได้" โอ๊ตย้อนวันเวลาแห่งโอกาสและอธิบายเพิ่มเติมว่า

 

"ความยากคือจุดเริ่มต้น อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าผมเป็นคนตัวเล็กแรงก็ไม่มีการดึงใบขึ้นจากน้ำคือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม พอไม่มีแรงดึงใบเรือขึ้นมันก็เริ่มท้อแต่เราคิดแค่ว่าจะต้องทำให้ได้ แล้วได้ไปแข่งที่ต่างประเทศ จุดหมายของผมมีแค่นั้น มันเลยมีแรงผลักดันว่าจะต้องทำให้ได้"

 

ภายหลังจากที่โอ๊ตกระโดดเข้าสู่เส้นทางนักกีฬาทีมชาติ ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปจากเด็กผอมโซกลายมาเป็นหนุ่มร่างบึกบึน เมื่อหมัดกล้ามเนื้อเริ่มมีเรี่ยวแรงทุกอย่างที่เคยยากก็ง่ายในทันที

 

"เราก็เปลี่ยนวิธีการกินหันมากินของที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อัดนมเยอะขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบกินข้าว วิ่งเล่นทั้งวัน อาจจะเป็นเพราะว่าเราซ้อมมาหนักมันเลยทำให้เหนื่อยก็เลยต้องกินเยอะขึ้น ซึ่งเขาดูแลผมมาตั้งแต่ที่เห็นเราเริ่มเล่น ดูแลในเรื่องของโภชนการเลยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น"

 

 

 

โอ๊ตใช้เวลาอยู่บนผืนน้ำนานเกือบเดือนกว่าที่ถูกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอย แต่สำหรับตัวเขาเองแล้วช่วงเวลา 1 เดือนถือว่านานมากกับการฝึกฝนแต่เมื่อเขาก้าวข้ามผ่านจุดเริ่มมาแล้วทุกอย่างก็ง่ายเหมือนปลอกกล้วย

 

"พอเราเริ่มเป็นแล้ว ทรงตัวได้แล้ว โค้ชก็จะสอนในเรื่องของการดูทิศทางของกระแสน้ำ ทิศทางเดินของลม ผมใช้เวลาในการฝึกฝนอยู่ประมาณ 2 ปีก็ติดทีมชาติความรู้สึกในตอนนั้นคิดในหัวแค่ว่าอยากจะไปแข่งต่างประเทศ ซึ่งความตั้งใจยังคงเหมือนเดิม" 

 

ช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา โอ๊ตเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการแข่งขันชิงแชมป์เยาวชนภายในประเทศทำผลงานได้ดีในระดับหนึ่ง ต่อมาในปี 2002 ประเทศไทยได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวินด์เซิร์ฟเยาวชน ชิงแชมป์โลก โค้ชเล็งเห็นว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะได้แข่งขันในเวทีที่ใหญ่ขึ้นจึงใส่ชื่อเขาติดไปด้วยเพื่อเก็บประสบการณ์

 

"เป็นจังหวะที่ผมติดทีมชาติชุดเยาวชนพอดีและไทยก็ได้สิทธิ์ส่งตัวนักกีฬาลงแข่งเยอะในฐานะเจ้าภาพ โค้ชก็เลยจับชื่อผมยัดลงแข่งด้วยทั้งที่ไม่เคยได้รางวัลอะไรเลย ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้นและกดดัน แต่คิดแค่ว่าเราซ้อมมาแบบนั้นก็เล่นไปแบบนั้น ถ้าจำไม่ผิดผมน่าจะแข่งไม่จบด้วยซ้ำเพราะดันไปอ้อมทุ่นผิด!" โอ๊ตยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่า แม้ภาพจำจะเลือนลางไปบ้างแต่เขาไม่เคยลืมช็อตสำคัญนั้นได้เลย

 

โอ๊ตบอกต่อว่า แม้ผลงานที่ออกมาจะไม่ดีนัก แต่นี่คือการแข่งขันระดับโลกที่ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กวัย 15 ปีกลับกันมันคือประสบการณ์อันล้ำค่าที่จะช่วยต่อยอดให้เขาแล่นเรือไปได้ไกลกว่าที่เคย

 

"ปกติเราจะซ้อมกันเอง แข่งขันกันเองภายในประเทศ นักกีฬาก็ไม่ค่อยเยอะแต่พอมาเป็นรายการชิงแชมป์โลกเราได้เจอนักกีฬาต่างชาติ ได้เห็นเทคนิคที่เขาเล่นแล้วสามารถนำมาปรับใช้กับตัวเราได้เยอะ" 

 

 

 

แล่นไปได้ไกลกว่า

 

ประสบการณ์ที่โอ๊ตได้รับจากการเป็นนักกีฬาระดับเยาวชน หลอมรวมให้เขาเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยจิตใจที่แข็งแกร่ง จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่การเป็นนักกีฬาวินด์เซิร์ฟชุดใหญ่พร้อมแล่นเรืออกไปให้ไกลกว่าเดิม

 

"รายการแข่งขันในนามทีมชาติชุดใหญ่คือซีเกมส์ปี 2007 ต่อมาก็การแข่งรอบควอลิฟายไปโอลิมปิกที่ปักกิ่งและลอนดอนแต่ผมคัดไม่ติดเลยทั้งสองรอบ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำว่าโอลิมปิกมากนักเพราะยังไม่รู้ว่าการแข่งโอลิมปิกมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน อีกอย่างผมวางเป้าหมายไว้แค่ซีเกมส์เป็นหลัก ยังไม่ได้มองภาพที่ใหญ่กว่า คืออยากจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากรายการเล็กๆ มากกว่า" โอ๊ตอธิบายถึงคำว่าโอลิมปิกออกมาด้วยความใสซื่อ ณ.ช่วงวัยนั้น

 

"มันเหมือนกับว่าเราพร้อมมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นซีเกมส์ เอเชียนเกมส์หรือการแข่งขันระดับโลกทุกอย่างมันพร้อมทั้งหมดแล้วทั้งเรื่องของประสบการณ์ทั้งความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจ โอลิมปิกที่บราซิลผมจึงตั้งความหวังไว้มากเพราะยังไม่เคยได้ไปเลยสักครั้ง จุดสูงสุดของนักกีฬาก็คือการได้ไปโอลิมปิกการที่จะได้เหรียญหรือไม่ได้ก็ค่อยไปว่ากันอีกที"

 

 

 

ท้ายที่สุด การแล่นเรือของโอ๊ตก็เดินทางสู่บราซิลได้สำเร็จ แม้ว่าผลงานจะไม่เป็นที่พอใจนักแต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชั้นเยี่ยมที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิต

 

"โอลิมปิกคือแหล่งรวมสุดยอดของนักกีฬา แม้ว่ามันจะไม่เป็นไปตามที่เราตั้งเป้าไว้แต่ก็ได้ลงมือทำมันอย่างเต็มที่ ถามว่าเสียใจหรือไม่ก็มีบ้างแต่ถือว่าเราทำมันออกมาได้อย่างเต็มที่แล้ว อีกอย่างมันไม่ใช่แค่เรื่องการซ้อมหนักเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการฝึกซ้อมที่เป็นระบบ เทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญเพราะวินด์เซิร์ฟต้องเล่นในทะเลการคาดเดาทิศทางลมเป็นเรื่องที่ยากมากแต่ปัจจุบันการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพราะคาดเดาทิศทางลมได้ง่ายขึ้น ไหนจะมีอุปกรณ์เฉพาะที่ช่วยบอกนักกีฬาของเขาได้ว่าลมจะมาจากทางไหน เวลาไหน กระแสน้ำประมาณ เขาจะเก็บทุกรายละเอียดซึ่งเรายังเป็นรองต่างชาติในเรื่องนี้"

 

โอ๊ตยอมรับตามตรงว่า เรื่องของการฝึกซ้อมไม่ต่างกันมากนักแต่สิ่งที่ยังคงตามหลังต่างชาติอยู่คือเรื่องของวิทยาศาสตร์การกีฬา ปฏิเสธได้ยากว่าเทคโนโลยีนั้นมีส่วนสำคัญที่จะพาเข้าใกล้คำว่าความสำเร็จ แม้จะเป็นรองอยู่บ้างแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

 

ว่ากันตามตรงสิ่งที่โอ๊ตเล่ามาทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขหากจะหวังไปให้ถึงเส้นชัยข้างหน้ากับโอลิมปิก 2020 ที่กำลังจะมาถึง

 

"ผมตั้งเป้าหมายกับโอลิมปิกครั้งนี้ไว้ว่าขอแค่ติด 1 ใน10 คนสุดท้ายก็ดีใจมากแล้ว ผมต้องคอยติดตามข่าวพยากรณ์อากาศด้วยเพื่อเป็นข้อมูลในการแข่งขัน เท่าที่ดูมาช่วงปลายเดือนกรกฏาคม สิงหาคม ทะเลที่ญี่ปุ่นจะมีคลื่นลูกใหญ่แต่กระแสลมจะค่อนข้างเบาซึ่งมันก็คล้ายๆ กับที่เราซ้อมมา แต่ถ้าหากต้องไปเจอกับคลื่นลมแรงประสบการณ์ที่เราผ่านมาคาดว่าน่าจะผ่านไปได้เพราะอย่างน้อยเราก็เดาลมได้ดีกว่าพัดมามั่วๆ เหมือนที่บราซิล" โอ๊ตยืนยันหนักแน่นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

 

 

ปล่อยวางทุกสิ่งละทิ้งไว้ข้างหลัง

 

โอลิมปิก 2020 ครั้งนี้โอ๊ตบอกว่าความฟิตของร่างกายและจิตใจของเขานั้นพร้อมมากเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นบวกกับประสบการณ์ที่เขาผ่านการแข่งขันมานักต่อนักยิ่งทำให้โอ๊ตมั่นใจมากว่าโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นจะเป็นบททดสอบความสามารถของเขาไปอีกขั้นความผิดหวังเมื่อครั้งก่อนเขาจะไม่เก็บมาใส่ใจ

 

"จากความผิดหวังที่บราซิลผมพยายามไม่คิดอะไรกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว ปล่อยวางมันไปแล้วพยายามมองไปข้างหน้ามากกว่า โยนความผิดหวังทิ้งมันไปพยายามไม่ยึดติด แล้วเก็บข้อผิดพลาดมาแก้ไขให้ดีในปัจจุบัน ประสบการณ์แรกในโอลิมปิกยอมรับว่ายังน้อยกว่าคนอื่นๆ ด้วยวัยด้วยอายุที่โตขึ้น สำคัญที่สุดคือประสบการณ์" โอ๊ตพยายามเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจากความผิดหวังให้ได้มากที่สุดและบอกต่อว่า

 

"ผมกลับมามุ่งมั่นตั้งใจซ้อมเหมือนเดิม ครั้งแรกเราพลาดไปแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ประสบการณ์จากบราซิลทำให้เรารู้ว่าปัญหาคืออะไร ทั้งจากสถานที่ซ้อมของบ้านเราเป็นแบบเปิดซึ่งกระแสลมจะคาดเดาได้ง่ายกว่า แต่ที่บราซิลเป็นอ่าวปิดเราไม่เคยเจอแบบนี้ลมก็คาดเดายาก และยังจะมีเรื่องของเรี่ยวแรงที่เราต้องรู้จักนำออกมาใช้ไม่ใช่ว่ามีเท่าไหร่ก็ใส่หมดตั้งแต่ออกตัวสตาร์ท เราต้องรู้จักออมแรงไว้และต้องรู้ว่าจะใช้ตอนไหนอันนี้สำคัญมากเพราะฉะนั้นประสบการณ์จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการคว้าชัยชนะ"

 

จากเด็กที่ไม่มีแรงแม้กระทั่งจะยกใบเรือหวังเพียงแค่แล่นตามลมออกไปให้ได้ไกลกว่า 1 เมตรเพื่อก้าวไปตามฝันกระทั่งผลักดันตัวเองสู่นักกีฬาวินด์เซิร์ฟทีมชาติที่สร้างชื่อมากมายให้กับประเทศ ความสำเร็จเหล่านี้ล้วนมาจากความตั้งใจที่แน่วแน่เพื่อจะเดินตามฝัน พร้อมกับการสั่งสมประสบการณ์จนพรั่งพรูกระทั่งกุยทางสู่โอลิมปิก 2020 อีกครั้งได้สำเร็จ 

 

เรือเล็กควรออกจากฝั่ง … โอ๊ตพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันจริง!

 


stadium

author

จิรวัฒน์ จามะรี

ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอวกาศ ในวันที่ฝนตกลงที่หน้าต่างในตอนเช้า

stadium olympic