stadium

รามณรงค์ เสวกวิหารี : จอมเตะผู้ไม่ยอมแพ้สู่การสานต่อตำนานโอลิมปิก

25 มิถุนายน 2564

ความพ่ายแพ้ เสียงร้องไห้ หรือการถูกกระทำเยี่ยงผู้อ่อนแอ เหล่านี้คงไม่มีใครยอมรับได้ การที่ต้องตกอยู่ในสภาวะการณ์เช่นนี้ถ้าหัวจิตหัวใจไม่เข้มแข็งพอนั่นอาจส่งผลด้านลบต่อจิตใจและการดำเนินชีวิตในอนาคต เส้นทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้าอาจถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกสีเทา บาดแผลในใจที่ยังฝังลึกอาจทำให้ผู้นั่นกลายเป็นผู้อ่อนแอไปตลอดกาล

 

ทว่าสิ่งเหล่านี้กลับเป็นแรงผลักดันให้เด็กหนุ่มอย่าง 'จูเนียร์ รามณรงค์ เสวกวิหารี' กล้าเผชิญหน้ากับทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามาอย่างพายุคลั่ง กระทั่งส่งให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย ด้วยผลงานมากมายที่จูเนียร์ได้สร้างไว้ตั้งแต่วัยกระเตาะทำให้เขากลายเป็นความหวังในการสานต่อตำนานโอลิมปิกที่ถูกเขียนไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

 

จากอดีตที่เคยขมขืนสู่วันที่หวานชื่น จูเนียร์ก้าวข้ามผ่านวันคืนที่โหดร้ายมาได้อย่างไรและอะไรคือกลไกลขับเคลื่อนชีวิตให้เดินต่อไปข้างหน้า เราไปหาคำตอบพร้อมกัน

 

 

 

คำของพ่อเมื่อครั้งยังเด็ก

 

เคยเป็นมั้ย? ที่ยังคงพาตัวเองจมอยู่ในห้วงเวลาของความพ่ายแพ้ ภาพจำในอดีตอันขมขืนถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับซีรี่ย์เรื่องยาว เหมือนมีเสียงของใครอีกคนคอยกระซิบแพ่วๆ ว่า "ไอ้ขี้แพ้" เป็นเสียงที่คอยตอกย้ำพาให้ช้ำใจเล่นๆ เป็นความทรงจำฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก

 

เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนเคยตกอยู่ภายใต้สถานการณ์อันย่ำแย่ นั่งกอดเข่าแล้วฟูมฟายร้องไห้ขี้มูกโป่งวิ่งกลับบ้านเยี่ยงคนแพ้

 

"ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกเพื่อนๆ ในกลุ่มแกล้งอยู่บ่อยๆ เล่นกับเขาแล้วเราสู้ไม่ได้ บางที่ก็โดนต่อยแรงๆ ก็ร้องไห้แล้วกลับไปบ้านฟ้องพ่อ แต่ปกติผมก็ชอบการต่อสู้อยู่แล้วมันสะใจดี เพียงแต่ว่าพอเราเห็นเขาตัวใหญ่กว่าแรงเยอะกว่าก็เลยกลายเป็นว่าเราสู้แรงเขาไม่ไหว" จูเนียร์ทวนความทรงจำวัยเด็ก แม้จะหลงลืมไปบ้างแต่ยังพอให้เห็นลางเลือน

 

แม้ว่าจูเนียร์จะตกเป็นเป้าของเพื่อนร่วมแก๊งค์ แม้จะโดนแกล้งอยู่เป็นประจำแต่ด้วยเลือดของนักสู้ที่ไหลเวียนในตัวตั้งแต่เด็กจึงทำให้เขาได้พบกับสิ่งที่เป็นเหมือนใบเบิกทางเปิดประตูสู่สังเวียนนักสู้เทควันโด

 

 

 

"ตอนนั้นพอจำได้ว่าพ่อพาผมไปศูนย์ฝึกกีฬาเยาวชนแถวๆ ห้วยขวาง พอได้เห็นเขาเล่นเทควันโดกันก็รู้สึกชอบขึ้นมาทันทีทั้งที่ไม่รู้หรอกว่ามันคือกีฬาอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบมันตรงไหนรู้แค่ว่าเราชอบการเตะต่อยอยู่แล้ว แต่พอได้ลองไปซ้อมก็รู้สึกสนุกพอเราเตะเขาได้หรือโดนเขาเตะกลับมามันมีความรู้สึกว่าเรามีความสุขกับตรงนั้น"

 

ความรู้สึกของจูเนียร์ในเวลานั้นอาจจะเป็นผลมาจากการที่เขาถูกกระทำจากบุคคลที่มีกำลังวังชามากกว่า แต่ด้วยเลือดนักสู้และได้ปะมือกับคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อจึงทำให้เขาหลงไหลกีฬาชนิดนี้ไปโดยปริยาย

 

การที่จูเนียร์หันมาสนใจกีฬาเทควันโด ไม่ใช่เพราะเขาต้องการเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้เพื่อกลับไปแก้ไขอดีตที่ตัวเองเคยถูกเพื่อนรังแก ความเครียดแค้นที่ต้องตกเป็นผู้ถูกกระทำไม่มีผลต่อหัวจิตหัวใจของหนุ่มนักสู้คนนี้

 

"คำที่พ่อเคยบอกตอนที่ส่งผมไปศูนย์ฝึกเยาวชน พ่อบอกว่าการที่เราได้มาฝึกเทควันโดไม่ใช่เพราะว่าจะต้องไปต่อยเขาหรือเอาคืนเขา แต่ฝึกไว้เพื่อเป็นการป้องกันตัวเวลาถูกรังแก พ่ออยากให้เป็นคนสู้คนแต่ไม่ใช่ว่าไปรังแกหรือข่มเหงคนอื่น ฝึกไว้เพื่อจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้" จูเนียร์ย้อนนึกถึงคำพูดของผู้เป็นพ่อและเพิ่มเติมต่อว่า

 

"พ่ออยากให้ผมสู้ ไม่ใช่ว่าโดนแกล้งแล้วร้องไห้กลับไปฟ้อง พ่อไม่อยากให้ผมเป็นแบบนั้นและยังย้ำเสมอว่าอย่าไปรังแกคนอื่น ผมจึงยึดคำสอนของพ่อมาตลอด" 

 

 

 

ความพ่ายแพ้ที่เลี่ยงไม่ได้

 

พรสวรรค์บวกกับพรแสวงผลักดันให้หนุ่มวัย 24 กระรัตอย่างจูเนียร์มุ่งมั่นในการฝึกวิชาป้องกันตัวจนกระทั่งเขาสามารถบรรลุวิชาและสิ่งที่ตามมาคือการได้ลงแข่งขันในสังเวียนลูกผู้ชาย

 

"ผมพอจำได้ว่าตอนนั้นเราฝึกได้สักพักหนึ่งก็มีโอกาสได้ลงแข่งขันในระดับเยาวชนจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมทำผลงานได้ดีจนกระทั่งเกิดการโกงคะแนนเพื่อที่จะให้ผมแพ้ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจหรอกว่าเป็นการโกงคะแนนหรือเปล่าแต่สัญชาตญาณตอนนั้นมันบอกผมว่าใช่ เขาต้องโกงเราแน่ๆ ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากแต่แม่ผมท่านถึงกับบอกให้ผมเลิกเล่นเลิกแข่งเทควันโดไปเลย" จูเนียร์หวนนึกถึงความอัปยศที่เคยเกิดขึ้นกับเขาเมื่อวัยเด็ก

 

แน่นอนว่าเกมกีฬามีแพ้-ชนะ แต่การพ่ายแพ้ที่ไม่สามารถยอมรับได้ ความพ่ายแพ้ที่ถูกยัดเยียดให้โดยที่ตัวเราเองนั่นไม่มีทางปฏิเสธอย่างเช่นการโกงแต้มเพียงเพื่อหวังให้ได้ชัยชนะ ความอัปยศนี้จูเนียร์รับมันไม่ได้ท้ายที่สุดเขาก็หันหลังให้กับเทควันโดตามคำแนะนำของคุณแม่

 

"หลังจากครั้งนั้นผมก็มองหากีฬาชนิดอื่นมาเล่น ซึ่งก็มีโอกาสได้ไปเล่นกอล์ฟ ผมเล่นอยู่พักเดียวแล้วรู้สึกว่ามันไม่ชอบไม่สนุกเหมือนเทควันโดที่เราเคยเล่นมา อยู่ๆ ผมก็เลิกเล่นกอล์ฟไปเลย"

 

ด้วยความเบื่อหน่ายกับกีฬาที่ตนเองไม่ชื่นชอบ จูเนียร์จึงเกิดความคิดว่าจะลองไปปรึกษากับครอบครัวเพื่อจะหวนกลับไปฝึกเทควันโดอีกครั้ง ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาก็คือ "ทำไมจะไม่ได้ล่ะลูก"

 

"รอบนี้แม่ผมเขาไม่ใส่ใจกับการโกงคะแนนอะไรอีกแล้ว ท่านบอกว่าตามใจผมถ้าอยากจะเล่น อยากจะแข่งก็ทำได้ ท่านไม่ได้ห้ามเราเหมือนครั้งแรก อีกอยากคือพ่อกับแม่อยากให้เราใช้เวลาว่างในการเล่นกีฬาเพื่อจะได้ไม่ไปข้องแวะเรื่องไร้สาระอื่นๆ"

 

นับเป็นความโชคดีที่ครอบครัวเสวกวิหารียังคงให้การสนับสนุนจูเนียร์ในการทำสิ่งที่เขาชอบ แม้ว่าจะเคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายในการแข่งขันมาแล้ว แต่ด้วยสปิริตของคนในครอบครัวและความชอบส่วนตัวที่เต็มเปี่ยมทำให้จูเนียร์หวนกลับมายกแข้งไล่หวดคู่แข่งอีกครั้ง

 

 

 

ธงชาติบนอกข้างซ้าย

 

"ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทีมชาติคืออะไร รู้แค่ว่าผมมีโอกาสได้ดูการถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์ผ่านจอทีวีแล้วรู้สึกว่าอยากได้ชุดเทควันโดที่มีธงชาติไทยและสกรีนคำว่า THA อยู่ด้านหลัง ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันเท่ดีมันเลยเกิดแรงบันดาลใจว่าสักวันเราต้องใส่ชุดแบบนั้นให้ได้" 

 

ประโยคบอกเล่าที่สะท้อนความใสซื่อในวัยเด็กของจูเนียร์ออกมาได้ชัดเจนที่สุด แม้จะเป็นเพียงการชื่นชอบที่เหนือความคาดหมายแต่ธงชาติที่ปักบนอกซ้ายก็มีแรงดึงดูดมากพอที่จะทำให้เขากลายเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติ

 

"หลังจากที่ซีเกมส์ในปีนั้นแข่งขันจบลง ทางสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทยก็มีการเปิดคัดตัวเพื่อหาตัวแทนทีมชาติไปแข่งขันในรายการเยาวชนโลก ผมก็มีโอกาสได้ไปร่วมคัดตัวกับเขาด้วย อยากลองดูว่าจะทำได้หรือไม่ และอีกอย่างหนึ่งคืออยากใส่ชุดเทควันโดที่มีธงชาติไทยปักอยู่ที่หน้าอก" จูเนียร์ยังคงหลงเสน่ห์ชุดเทควันโดทีมชาติเช่นเคย

 

แต่ก็ใช่ว่าจูเนียร์จะเป็นเพียงนักกีฬาเทควันโดโนเนมที่เดินดุ่มๆ ถือกระเป๋าเข้าไปขอคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนรับใช้ชาติ เขาไม่ใช่นักกีฬาหน้าใหม่ที่ไร้ซึ่งฝีมือ แต่จูเนียร์ได้ผ่านการเป็นนักกีฬาระดับเยาวชนแห่งชาติและมีโอกาสได้เข้าร่วมแข่งขันรายการในระดับประเทศมากมายกรันตีด้วยเหรียญรางวัลเป็นกระบุง

 

 

"ผมใช้เวลาประมาณ 1 ปีเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายรวมไปถึงการฝึกซ้อมที่หนักขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าคัดตัว ตอนนั้นผมค่อยข้างมั่นใจมากๆ ว่าจะต้องคัดติดแต่ถ้าไม่ติดก็ถือว่าเราได้ลองทำมันแล้ว เมื่อมีโอกาสผมก็จะคว้ามันให้ได้ ผมบอกกับพ่อว่าผมอยากได้ชุดเทควันโดมาใส่แถมการได้เป็นตัวแทนนักกีฬาในนามทีมชาติในความรู้สึกของผมมันเท่" จูเนียร์ยังตอกย้ำเป้าหมายเดิมและบอกต่อว่า

 

"ผมให้สัญญากับพ่อว่าจะเอาชุดทีมชาติมาใส่ให้ท่านดู!" ชัดเจนแล้วว่าความฝันของจูเนียร์มาเหนือความคาดหมายจริงๆ

 

ด้วยความมุ่งมั่นบวกกับเลือดนักสู้ที่ไหลเวียนทั่วร่างทำให้จูเนียร์สามารถทำตามเป้าหมายที่ปักธงไว้ได้สำเร็จมันไม่ใช่เพียงชุดเทควันโดที่ปักลายธงชาติไทยหรือสกรีนคำว่า THA อยู่ที่ด้านหลังแต่สิ่งตอบแทนจากความพยายามทุ่มเทแรงกายและแรงใจของเขาคือ การเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทยที่มาพร้อมกับความสำเร็จมากมายในการแข่งขัน

 

เหรียญเงินในรายการเทควันโดชิงแชมป์โลกเมื่อปี 2015 และ 2017 ในรายการชิงแชมป์เอเชียจูเนียร์สามารถคว้าเหรียญเงินมาได้ถึงสองสมัยในปี 2016 และ 2018 และยังกวาดเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ได้อีกสามสมัยซ้อน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสำเร็จในนามทีมชาติ

 

ถ้าจะบอกว่า "ใส่ชุดนั้นแล้วมันเท่" คงจะไม่เพียงพอเพราะจูเนียร์ทำให้เห็นแล้วว่านอกจากคำว่าเท่มันยังมีพลังแฝงยามเมื่อสวมใส่ ส่งผลให้เขาเดินทางไล่อัดคู่ต่อสู้กระทั่งทะยานขึ้นสู่นักกีฬาเทควันโดเบอร์ต้นๆ ของประเทศ

 

 

 

ความเชื่อใจของครอบครัว

 

"ตอนเด็กๆ ผมเก่งมาก" ประโยคคุยโวที่เหมือนจะโม้เกินจริงของจูเนียร์ถูกการันตีด้วยผลงานในนามทีมชาติมานักต่อนัก นั่นไม่ใช่การอวดเบ่งว่าข้าเก่งเกินใครแต่เป็นเพราะความเชื่อใจและมั่นใจว่าตัวเขาทำได้อย่างที่พูดไว้จริงๆ

 

"พ่อกับแม่ท่านเชื่อใจในตัวผมมากและมั่นใจว่าผมจะต้องทำได้สำเร็จ เพราะตั้งแต่ตอนเด็กแล้วที่ท่านพยายามบอกกับผมว่าถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ เขาเชื่อใจในตัวผมและสนับสนุนผมเต็มที่ ผมก็ตอบแทนท่านด้วยการทำให้เห็นว่าเราไม่ยอมแพ้และทำได้สำเร็จ"

 

ความมั่นใจนี้เองที่ผลักดันให้จูเนียร์ประสบความสำเร็จในวันนี้

 

"มันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาจารย์ผู้สอนท่านไม่ได้มาสอนเทควันโดให้กับผม ผมก็ไม่ได้ซ้อมเลยแต่พอมีแข่งเขาก็เรียกผมไปแข่งดื้อๆ มันก็เลยทำให้เราแพ้บ้างในบางรายการแต่ด้วยความที่ผมยังสู้ต่อและครอบครัวก็ยังสนับสนุนเลยทำให้ผมยังมีกำลังใจแล้วก็สามาถทำผลงานได้ดีอีกครั้ง เชื่อหรือไม่ว่าหลังจากนั้น 2-3 ปีผมไม่แพ้ใครเลย" จูเนียร์ไม่ได้โม้แต่เขาเล่าจากประสบการณ์ตรงของตัวเขาเอง

 

"สำคัญที่สุดคือใจเราต้องสู้อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ และต้องไม่กลัวใคร เพราะว่าพ่อจะย้ำกับผมเสมอว่าจะไปกลัวทำไมเราก็มีมือมีตีน มันเป็นการปลูกฝังตั้งแต่ผมยังเด็ก และผมเชื่อว่าท่านก็เชื่อใจในตัวเราเหมือนกันมันจึงเป็นข้อได้เปรียบของผม เวลาแข่งขันผมมักจะทำสมาธิและนึกถึงคำพูดของพ่อก่อนเสมอ" 

 

แรงใจจากครอบครัวผนวกกับความเชื่อมั่นในตัวของจูเนียร์คงจะเป็นแสงสว่างที่นำทางให้เขาเดินไปยังจุดหมายได้สำเร็จ เพราะเชื่อเหลือเกินว่าคงไม่มีคำพูดไหนสำคัญไปกว่าคำพูดของคนใกล้ตัวยิ่งเป็นคนในครอบครัวด้วยแล้วนั้นยิ่งเป็นตัวผลักดันชั้นดีที่ทำให้จูเนียร์กลายเป็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยเลือดนักสู้ที่พร้อมจะเผชิญกับคู่ต่อกรที่ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใดแต่ใจไม่เคยหวั่นตวัดแข้งเตะเป็นพลันวันและหันหน้าสู่ญี่ปุ่นได้เป็นผลสำเร็จสมความตั้งใจ

 

 

 

โอลิมปิกแรกในชุดที่ปักธงชาติ

 

ความใฝ่ฝันของนักกีฬาไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตามคือการที่ได้เดินทางไปแข่งขันมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรียกกันว่า 'โอลิมปิก'นอกจากจะเป็นตัวแทนของประเทศแล้วนั้นยังถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดให้กับวงตระกูลพร้อมที่จะถูกจารึกชื่อไว้ในความทรงจำ

 

เฉกเช่นจูเนียร์ นี่คืออีกหนึ่งความใฝ่ฝันที่ตัวเขาเองนั้นวาดหวังไว้ 

 

"ผมเคยผ่านการแข่งขันในเวทีน้องเล็กอย่างยูธโอลิมปิกมาแล้วก็ต้องหวังถึงรายการพี่ใหญ่นั่นคือโอลิมปิก มันเป็นเรื่องธรรมดาของนักกีฬาที่ใครๆ ก็อยากไปแข่งกันทั้งนั้น ผมเคยพลาดการไปโอลิมปิกมาแล้วครั้งหนึ่งตอนนั้นก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากพยายามเดินหน้าทำต่อไปให้ดีที่สุดและบอกกับตัวเองตลอดว่าครั้งหน้าเราจะต้องไปโอลิมปิกให้ได้เพราะมันเป็นอีกหนึ่งความฝันของผมเหมือนกัน"

 

กลับกันความผิดหวังครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันทำให้จูเนียร์มุ่งมั่นตั้งใจฝึกซ้อมมากขึ้น ประสบการณ์จากเวทีแข่งขันในรายการต่างๆ ที่จูเนียร์เข้าร่วมส่งผลให้เขาผ่านการแข่งขันในรอบคัดเลือกโอลิมปิก 2020 โซนเอเชียที่ประเทศจอร์แดนและคว้าสิทธิ์ไปเล่นโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จ

 

 

"ครั้งนี้ผมจะพยายามทำให้เต็มที่ มีสมาธิอยู่กับเกมตลอดเวลาพยายามจะไม่หลุดโฟกัส เพราะถ้าสมาธิหลุดไปแล้วจะทำให้เราพลาดเสียแต้มได้ ทีนี้ถ้าเราพลาดเราก็ต้องเดินหน้าไล่เตะคู่แข่งเพื่อหวังทำคะแนนมันก็จะไปเข้าทางเขาได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเล่นตามเกมของเราจะไปหลับหูหลับตาเตะอย่างเดียวมันไม่ได้ แต่ทางที่ดีที่สุดคือพยายามมีสมาธิอยู่กับตัวเอง" 

 

ความพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดและชื่นชอบออกมาให้ดีที่สุด ย่อมส่งผลในเชิงบวกแม้ว่าบางครั้งจะผิดหวังแต่ด้วยความเป็นนักสู้ของจูเนียร์พ้องกับความเชื่อใจของคนในครอบครัวทำให้เขาสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองมาได้ ความผิดหวังไม่ใช่อุปสรรคในการเดินทางอีกต่อไปเมื่อหัวใจยังสู้ก็ไม่มีอะไรมาขว้างกลั้น

 

นี่คงจะเป็นคำนิยามที่พอจะหยิบยกมาสรรเสริญหัวจิตหัวใจของเด็กหนุ่มวัย 24 ปีอย่างจูเนียร์คนนี้ ในเมื่อการเดินทางเพิ่งจะมาถึงจุดเริ่มต้นจากนี้ไปคงจะเป็นบททดสอบความหาญกล้าที่จะเผชิญหน้าบนเวทีการแข่งขัน "อย่าไปกลัว" คำๆ นี้ของผู้เป็นพ่อจะยังคงดังก้องในโสตประสาทไปตลอดการแข่งขันโอลิมปิก

 

เมื่อการเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดที่โพเดียมแห่งชัยชนะ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นเขาสวมชุดเทควันโด้ที่ปักลายธงชาติไทยชูเหรียญรางวัลโอลิมปิกพร้อมกลับสานต่อตำนานจอมเตะไทยคนต่อไปให้จดจำไปตลอดกาล

 


stadium

author

จิรวัฒน์ จามะรี

ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอวกาศ ในวันที่ฝนตกลงที่หน้าต่างในตอนเช้า

La Vie en Rose
stadium olympic