stadium

ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี : หลังพิงฝา โอลิมปิก ยกสุดท้ายที่ถอยหลังไม่ได้

27 พฤษภาคม 2564

“ผมไม่เคยบอกว่าตัวเองเก่ง แต่ถ้าวันไหนผมบอกว่าตัวเองเก่ง วันนั้นจะเป็นวันที่ผมจะเลิกต่อยมวย เพราะถ้าผมเก่มจริงก็คงคว้าเหรียญโอลิมปิกเกมส์ไปแล้ว”

 

คำพูดจากปากของ “สด” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี (ชื่อเดิม ฉัตร์ชัย บุตรดี) นักมวยสากลหนุ่มผู้เป็นความหวังของทัพขุนพลเสื้อกล้ามไทยในทุกมหกรรมกีฬา ทั้งในระดับอาเซียน เอเชีย ไปจนถึงระดับโลก ซึ่งตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เขาคือผ่านเรื่องราวทั้งสุขและทุกข์ ได้สัมผัสรสชาติของความสำเร็จ และความผิดหวังมากที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย

 

คว้าเหรียญทองชิงแชมป์เอเชียอีก 1 สมัย ในปี 2015 แชม์ซีเกมส์อีก 4 ครั้ง เหรียญทองแดงในศึกชิงแชมป์โลก 2013 จนคนในวงการมวยยกให้“ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี” เป็นนักชกที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของวงการกำปั้นไทยในปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตามในมหกรรมใหญ่ ๆ ผลงานของเขากลับสวนทางกับก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เอเชียนเกมส์ 3 ครั้ง ตกรอบแรกถึง 2 หน และอกหักจากรอบชิงเหรียญทองแดงอีก 1 ครั้ง เท่านั้นยังไม่พอ “ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี” ยังผิดหวังกับโอลิมปิกทั้ง 2 ครั้งที่เข้าร่วมในปี 2012 และ 2016 พลาดเหรียญรางวัลตลอดทั้งที่ถูกมองเป็นความหวังโดยเฉพาะใน “ริโอเกมส์ 2016” ซึ่งเขาไปพร้อมกับความมั่นใจที่จะคว้า “เหรียญโอลิมปิกเกมส์” แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด จนทำให้เขาเกือบจะแขวนนวมไปแล้ว

 

 

ความเจ็บปวดจากความอยุติธรรม

 

ย้อนกลับไปที่บราซิล “ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี” พบกับความผิดหวังแบบไม่คาดคิด หลังโดนพิษการตัดสินที่ค้านสายตาในการแข่งขัน “โอลิมปิกเกมส์ 2016” เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในรอบ 16 คนสุดท้าย กับคู่ชกอย่าง วลาดิเมียร์ นิคิติน จากรัสเซีย โดยตลอดการแข่งขัน ฉัตร์ชัยเดชา ออกหมัดได้เหนือกว่าและชัดเจนกว่าทั้ง 3 ยก แต่ผลการตัดสินกลับปรากฏว่าเป็นคู่ชกจากรัสเซียที่เป็นฝ่ายชนะคะแนนไป 2-1 เสียง ท่ามกลางข้อครหาว่า “ไอบา” ล็อคผลการแข่งขันให้ “นักชกรัสเซีย เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะ จนส่งผลให้ “สด” กระเด็นตกรอบ 16 คนสุดท้ายในริโอเกมส์แบบน่าเจ็บใจ

 

ผลกระทบจากไฟต์ดังกล่าวได้สร้างความปวดร้าวในจิตใจให้กับ “ฉัตร์ชัยเดชา” ได้มากที่สุดในชีวิตการเป็นนักมวย

 

“ผลการตัดสินวันนั้นมันทำให้ผมรู้สึกท้อแท้ที่สุดในชีวิต เพราะก่อนไปแข่งโอลิมปิก ผมเชื่อมั่นมากเหลือเกินว่าตัวเองมีโอกาสที่จะคว้าเหรียญรางวัล เป็นปีที่ผมพร้อมที่สุด เตรียมตัวฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายฝันต้องสลายไปในพริบตาด้วยการตัดสินที่ไม่ยุติธรรม”

 

“พี่เชื่อไหมว่าวันนั้นผมนอนไม่หลับเลยนะ รู้สึกผิดหวังมาก ๆ จนผมตัดสินใจที่จะแขวนนวมไปเลย เพราะการตัดสินของกรรมการวันนั้นมันทำร้ายหัวใจผม ซึ่งมันค้านสายตาคนทั้งโลกและมันยากเกินที่จะทำใจรับได้จริงๆ”

 

“แต่ผมโชคดีที่ท่านสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ยังมองเห็นศํกยภาพในตัวผม ท่านบอกว่าเอ็งยังไหวนะ สู้เต็มที่แล้ว และไม่อยากให้เราปิดฉากเส้นทางสายนักชกของตัวเองด้วยการความล้มเหลวแบบนี้”

 

“คำพูดของท่านสมชายมันเหมือนการให้ชีวิตใหม่กับผม ทำให้รู้สึกว่าเราต้องสู้ต่อ ลุกขึ้นพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง หลังกลับจากโอลิมปิกเกมส์ ผมก็พยายามเดินหน้าฝึกซ้อมต่ออย่างเต็มที่ ซึ่งเหรียญทองซีเกมส์ ปี 2017 มันทำให้ผมมีกำลังใจพร้อมกลับมาสู้อีกสักตั้ง”

 

 

 

 

 

เอเชียนเกมส์จุดเปลี่ยน

 

“นักชกเสื้อกล้ามหนุ่มทีมชาติไทย” เล่าต่อว่า “จากซีเกมส์ มันก็ทำให้ผมได้ไปชกในเอเชียนเกมส์ เป็นหนที่ 3 ในปี 2018 ซึ่งมันคือจุดเปลี่ยนในชีวิตผมอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาคล้องคอได้ แต่ผมก็ไม่ตกรอบแรกเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แถมยังเอาชนะแชมป์โลกชาวคาซัคสถาน ตัวเต็งเหรียญทองในรุ่นได้อีก เลยกลับมาคิดว่าเราก็ยังพอมีฝีมืออยู่เหมือนกัน ยังไปได้ต่อนะ แม้สุดท้ายผมจะแพ้ในรอบชิงเหรียญทองแดงก็ตาม"

 

“แต่ถ้าวันนั้นแพ้คาซัคฯ ความคิดผมอาจเปลี่ยนไปอีกแบบ เส้นทางอาจจะจบลงไปแล้วก็ได้ แต่พอชนะมันเหมือนป็นโชคชะตาที่ทำให้เราต้องเดินหน้าต่อ และตั้งเป้าไว้ว่าจะกลับไปพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งใน “โอลิมปิกเกมส์ 2020” เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่าผมยังมีดีพอที่ก้าวขึ้นไปเป็น นักชกเหรียญโอลิมปิกเกมส์

 

“ทำไม ? ผมคิดว่าตัวเองดีพอที่จะคว้าเหรียญโอลิมปิกเกมส์ เพราะที่ผ่านมาเห็นตัวอย่างมาหลายคนแล้ว โดยเฉพาะ “พี่จิตร” (สมจิตร จงจอหอ) พี่เขาผิดหวังมามากกว่าผมอีก แต่แกก็ยังสู้จนคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้เลย ผมเลยคิดว่าผมก็น่าจะทำได้แบบพี่จิตรเช่นกัน”

 

 

 

 

ไม่ใช่นักชกความหวังอีกแล้ว

 

“ฉัตร์ชัยเดชา” กล่าวต่อว่า โอลิมปิกเกมส์ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของผมแล้ว ทำให้ผมมุ่งมั่นกว่าทุกครั้ง ทุ่มเทฝึกซ้อมแบบเต็มที่ทุกวัน เพราะผมมีความเชื่อว่าหากเราฝึกซ้อมดี และศึกษาคู่แข่งหรือทำการบ้านมาอย่างดี เราก็มีโอกาสที่เดินไปถึงฝันในการหยิบเหรียญโอลิมปิกได้เหมือนกัน”

 

“ส่วนเรื่องความกดดัน ผมยอมรับว่าในโอลิมปิกเกมส์ 2 ครั้งที่ผ่านมา ความกดดันก็เป็นอีกเหตุผลหลักที่ทำให้ผมไม่นิ่งเท่าที่ควร เพราะที่ผ่านมาผมถือว่าตัวเองเป็นความนักกีฬาความหวัง ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เราว่าเราต้องได้เหรียญ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่กดดันตัวผมมาตลอด”

 

“แต่ในครั้งนี้มันต่างกันออกไป เพราะความผิดหวังในโอลิมเกมส์ 2 ครั้งที่ผ่านมา คนน่าจะคิดว่าผมคงไม่ใช่นักชกที่เป็นความหวังของคนไทยอีกแล้ว และด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น มันก็ทำให้รู้ว่าเราจะรับมือกับความกดดันได้อย่างไร”

 

 

 

 

อยากเป็นคนเก่งในโอลิมปิกเกมส์หนสุดท้าย

 

“ผมไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว ผมบอกกับตัวเองมาตลอดว่าผมจะต้องขึ้นชกทุกไฟต์เหมือนเป็นการต่อยไฟท์สุดท้ายในชีวิต และต้องเต็มที่ที่สุดเพื่อตัวผมเอง ครอบครัวและคนไทยทุกคนที่เชียร์ ผมจะไม่สนเรื่องการตัดสินของกรรมการอีกแล้ว แต่ผลจะออกมาแบบไหนผมคงไม่สามารถบอกได้ ”

 

“สิ่งที่ผมอยากบอกทุกคนได้รู้คือผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ถ้าวันไหนผมบอกว่าตัวเองเก่ง วันนั้นคือวันที่ผมเลิกจะต่อยมวย หากผมเก่งจริงก็คงคว้าเหรียญโอลิมปิกเกมส์ ไปแล้ว”

 

“แต่ก็หวังผมคงจะบอกทุกคนได้เต็มปากว่าผมเก่งหลังจบโอลิมปิกเกมส์หนนี้นะ” ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี ทิ้งท้าย


stadium

author

ศิรกานต์ ผาเจริญ

StadiumTH Content Creator // ผู้ก่อตั้งเพจสนามตะกร้อ

stadium olympic