13 มิถุนายน 2564
“เทควันโด” ถือเป็นหนึ่งในกีฬา “ความหวังเหรียญทอง” ของทัพ “นักกีฬาไทย” ใน “โอลิมปิกเกมส์” มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2004 หลังจาก “วิว” เยาวภา บุรพลชัย เป็น “นักกีฬาเทควันโดไทยคนแรก" ที่คว้าเหรียญทองแดงในโอลิมปิกเกมส์ มาครองได้สำเร็จ พร้อมกับเป็นผู้จุดประกายฝันให้เด็กหลายๆอยากเดินตามรอยมาอย่างมากมาย
จุดเริ่มต้นชีวิต...นักเทควันโด...
หนึ่งในนั้นก็คือ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เด็กสาวตัวเล็กๆ จากสุราษฎร์ธานี ที่เริ่มต้นเล่นกีฬา “เทควันโด” จากการแค่าอยากใส่ชุด “เทคโวันโด” เหมือนกับ “พี่ชาย” จนทำให้เธอได้มีโอกาสเล่นเทควันโดเป็นครั้งแรก พร้อมเดินหน้าเล่นกีฬานี้อย่างจริงจังเรื่อยๆ พร้อมตกบัตร “แจ้งเกิด” ได้เป็นครั้งแรกในกีฬาเยาวชนแห่งชาติครั้งที่ 27 ที่ จ.อุตรดิถต์ หลังโชว์ฟอร์มเตะคู่แข่งจนคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ จนทำให้มีโอกาสเข้าไปคัดตัวเป็น “เยาวชนทีมชาติ”
พร้อมทำให้ “พาณิภัค” มีชื่ออยู่บนทำเนียบ “จอมเตะทีมชาติไทย” มาอย่างต่อเนื่องพร้อมสร้างผลงานกวาดเหรียญรางวัลในเวทีระดับทวีป และระดับโลก เป็นว่าเล่นไล่ตั้งแต่ เหรียญเงินซีเกมส์ 2013, แชมป์เอเชีย 2014 และ เหรียญทองยูธโอลิมปิกเกมส์ 2014,เหรียญทองแดงเอเชี่ยนเกมส์ 2014 ต่อด้วย การผงาดแชมป์โลก รุ่น 46 กก. ในปี 2015 และยังกวาดแชมป์ระดับเอเชีย และระดับโลกและมาครองได้แทบทุกรายการ
จนในปี 2016 “พาณิภัค” ได้ขยับขึ้นมาเล่นในรุ่น 49 กก. แบบเต็มตัวพร้อมเบียด “ชนาธิป ซ้อนขำ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจอมเตะรุ่นพี่ฝีมือดีในรุ่น และดีกรีเหรียญทองแดง “โอลิมปิกเกมส์2012” ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทน “ทีมชาติไทย” ไปเข้าร่วมการแข่งขัน “โอลิมปิกเกมส์ 2016” ได้ด้วยฟอร์มอันร้อนแรงในเวลานั้นทำให้ “พาณิภัค” เป็นความหวัง “เหรียญทอง” ของทีม “เทควันโดไทย” อีกด้วย
บาดแผลในใจ...
ในโอลิมปิกเกมส์ 2016 “พาณิภัค” ต้องพบกับประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำเกิดรอยแผลในใจของเธอขึ้นในการแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อมาพลาดท่าแพ้ต่อ “คิม โซ ฮุย" จอมเตะมือวางอันดับ 7 จากเกาหลีใต้ ในช่วง 4 วินาทีสุดท้ายของยกสุดท้าย ทั้งที่มีคะแนนนำอยู่ 4-2 แต่กลับเดินหน้าแลกเพลงเตะก่อนพลาดท่าโดน “จอมเตะเกาหลีใต้” ถูกเตะหัวทำแต้มเบียดเอาชนะ 6-5 แบบน่าเจ็บใจ ยุติเส้นทางคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ไปโดยปริยาย
ทว่าในโอลิมปิกเกมส์ 2016 ครั้งนั้นเธอยังโชคดีที่ “จอมเตะสาวเกาหลีใต้” สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบชิงได้ ทำให้ “พาณิภัค” มีโอกาสในรอบแก้ตัว ในรอบชิงเหรียญทองแดง ก่อนที่จะมาแก้ตัวเอาชนะ บาสติยาส มานยาร์เรซ จากเม็กซิโก ไปได้แบบเอาท์คลาส 15-3 คว้าเหรียญทองแดงมาครองได้สำเร็จ
อย่างไรก็ดีอย่างที่บอกไปว่าเหตุการณ์ที่พ่ายแพ้ในช่วง 4 วินาทีสุดท้ายต่อ “คิม โซ ฮุย” นั้นถือเป็นรอยแผลในชีวิตนักเทควันโดของเธอมาตลอด และเป็นสิ่งที่ทำให้ “พาณิภัค” มุ่งมั่นที่กลับไปแก้ตัวใน “โตเกียวเกมส์” หนนี้ให้ได้นั่นเอง และเป็นเหตุให้ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมาเธอ ยังเดินหน้าทุ่มเทชีวิตให้กับการ “ฝึกซ้อม” และ “การแข่งขัน” ในรายการต่างๆ อย่างเต็มที่ทุกครั้ง
จนทำให้ ณ เวลานี้ “เธอ” กลายเป็น “นักเทควันโดเบอร์ 1 ของโลก ในรุ่น 49 กก. หญิง” ที่กวาดคว้าเหรียญรางวัลระดับมาสเตอร์บนโลกใบนี้มาหมดแล้วนอกเหนือจาก “เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์” ซึ่งเป็นสิ่งเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของ “เธอ”
พาณิภัค เผยว่า “ความพ่ายแพ้ต่อ คิม โซ ฮุย ในช่วง 4 วินาทีสุดท้ายของรอบก่อนรองชนะเลิศใน “โอลิมปิกเกมส์ 2016” มันถือเป็นความทรงจำ ที่ไม่น่าจดจำสำหรับหนู แต่มันก็เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่มันเป็นสิ่งที่ทำให้หนูรู้ว่าสู้อย่างมีชั้นเชิในช่วงที่ผ่านมาตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา”
“แต่ในเวลานี้ต้องบอกว่า หนูลืมเรื่องความพ่ายแพ้ครั้งนั้นไปหมดแล้ว เพราะที่ผ่านมาการแข่งขันทุกรายการมันทำให้หนูมีจิตใจที่แข็งแกร่งมากขึ้น เพราะกีฬามันแพ้ชนะได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว โค้ชเช ก็บอกหนูเสมอว่าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แต่มุ่งมั่นทำหน้าที่ของเราหน้าที่ของตนเองทั้งในการฝึกซ้อม และการแข่งขันออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้นก็พอ”
โตเกียวเกมส์ คือ บทพิสูจน์ของชีวิต
“ส่วน “โตเกียวเกมส์” หนนี้แน่นอนมันเป็นรายการที่หนูอย่างลงแข่งขันมากที่สุดในเวลานี้ เพราะมันเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนักกีฬาทุกคน อยากลงไปพิสูจน์ตัวเองว่าเราจะไปทำเป้าหมายของตัวเองได้หรือไม่”
“พาณิภัค” เผยต่ออีกว่า “ตลอดระยะที่ผ่านมาหนูฝึกซ้อมอย่างหนักวันแทบทุกวัน 3 เวลา ซ้อมเช้า กลางวัน เย็น และแทบไม่มีวันหยุดเลย หนุไม่เคยได้เที่ยว ไม่เคยได้ออกไปไหน และไม่มีเวลาคิดอะไรนอกจากการฝึกซ้อม เพราะแค่ซ้อมอย่างเดียวก็หมดแรงแล้ว ทุกวันนี้หัวถึงหมอนก็หลับแล้ว”
“การที่ตนเองฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวันนี้เพราะ “โอลิมปิกเกมส์” ในครั้งนี้ มันคือเป้าหมายสำคัญที่สุดของชีวิต แต่มันคงไม่ใช่เพราะต้องการไปลบความผิดหวังในครั้งที่แล้วก็อย่างบอกไปหนูลืมมันไปแล้ว แต่มันการกลับไปพิสูจน์ตัวเองมากกว่า แต่ถ้าถามเรื่องความหวังแน่นอนไม่มีใครไม่อยากได้เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์หรอกค่ะ”
“ในโอลิมปิกเกมส์ นั้นนักกีฬาทุกคนล้วนมีฝีมือทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นหวู จิง หยู ของจีน, ฟิจาน่า จากเซอร์เบีย และ แจ ยอง คิม ของเกาหลีใต้ ที่เป็นมือ ของโลก ทำให้หนูเองก็ไม่อยากคาดหวังสูงเพราะกีฬามันไม่มีอะไรแน่นอน มันมีแพ้ มีชนะ
“หากถามพร้อมแค่ไหนหนูบอกได้เลยว่าเวลานี้พร้อมมากๆแต่หนูเองหวังแค่ว่าทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดในฐานะตัวแทนคนไทยทั้งประเทศก็พอ ส่วนผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรมันก็คงขึ้นอยู่กับ “วาสนา” ของหนูแล้วเวลานี้”
แต่ก็ต้องบอกว่า “โตเกียวเกมส์” หนนี้มันคือ “บทพิสูจน์” ของหนูด้วยเช่นกัน พาณิภัค วงศ์พัฒนากิจ กล่าว