stadium

'ใบสน มณีก้อน' ก้าวข้ามกรอบเดิมสู่โอลิมปิกแรกด้วยวัย 18 ปี

13 มิถุนายน 2564

เป็นอีกหนึ่งครั้งที่แวดวงกำปั้นไทยค้นพบ 'ยอดมวย' ฝีมือเยี่ยมอย่าง 'ครีม' ใบสน มณีก้อน นักชกหญิงแกร่งจากแดนกาฬสินธุ์ ด้วยวัยเพียง 18 ปีแต่เธอสามารถคว้าสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จเป็นโควตาที่ 2 จาก 5 รุ่นที่สมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทยส่งชิงชัยในประเภทนักชกหญิง

 

อะไรคือความพิเศษที่ทำให้ครีมสามารถตีตั๋วไปทำศึกโอลิมปิกครั้งนี้ได้สำเร็จ เราจะมาถอดรหัสและไขความลับไปพร้อมกันกับเธอ!

 

 

 

ยอดมวยไทยสู่สังเวียนผ้าใบสากล

 

ใบสน มณีก้อน หรือครีม เติบใหญ่ด้วยการฝูมฝักจากครอบครัวมณีก้อน เมื่อครั้งเยาว์วัยสุขภาพของเธอไม่สู้ดีนัก มีโรคหืดหอบและภูมิแพ้ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ครีมจึงหันมาใส่ใจกับเรื่องของสุขภาพของตัวเองมากขึ้นและเริ่มมองหาลู่ทางการออกกำลังกายโดยหวังว่าจะเป็นยากรักษาโรคประจำตัวให้หายขาด

 

นับเป็นความโชคดีของเธอที่ครอบครัวมณีก้อนเปิดค่ายมวยชื่อ 'ผลไม้ปลากัดยิมส์' ทำให้ครีมมีโอกาสได้สร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายและเรียนรู้เชิงมวยจากคุณพ่อผู้ที่เสมือนครูมวยคนแรก ที่ช่วยสอนศิลปะมวยไทยให้กับครีมกระทั่งเธออายุได้ 10 ปี จึงเริ่มเข้าสู่การชกมวยไทยสมัครเล่นตามเวทีภูธรและฉายแววความเป็นยอดมวยมานับแต่นั้น

 

"ที่บ้านหนูเขาชอบกีฬาต่อยมวยกันทั้งบ้านอย่างพ่อก็เปิดค่ายมวย พี่สาวก็ชกมวย ตอนแรกก็หวังแค่ให้หายจากโรคหอบหืดกับเงินรางวัลจากการชกมวย ขึ้นชกครั้งแรกก็ตื่นเต้นค่ะ แต่พอเริ่มเห็นเงินก็เริ่มชอบและขอพ่อซ้อมมวยไทยมาตลอด บอกตรง ๆ ว่าไม่กลัวเจ็บมันสนุกดี"

 

ด้วยฝีไม้ลายมือที่โดดเด่นเกินวัยทำให้ครีมมีโอกาสได้ขึ้นชกบนเวที 'ไทยไฟต์' ด้วยพลังหมัดที่หนักหน่วงและความกล้าได้กล้าเสียของเธอดันไปถูกตาต้องใจ คุณสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานเทคนิคสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย ที่ตามดูฟอร์มการชกของเธอมาหลายต่อหลายไฟต์ ท้ายที่สุดครีมก็ถูกดึงตัวเข้าสู่วงการมวยสากลแม้จะไม่ใช่ทางที่ถนัด แต่เมื่อโอกาสมาถึงเธอจึงตกปากรับคำทันที

 

"สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจรับคำเชิญคือหนูอยากลองอะไรใหม่ ๆ ดูบ้าง อีกอย่างถ้าต่อยมวยสากลแล้วมีผลงานดี เราอาจจะไปได้ดีกว่ามวยไทยก็ได้ อาจจะได้รับการติดยศหรือรับราชการ ซึ่งเราก็อยากจะไปให้ถึงตรงนั้น อีกอย่างมวยสากลมีคนสนับสนุนเยอะกว่ามวยไทย น่าจะทำให้เรามีโอกาสมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า"

 

 

 

 

 

ทำได้หรือไม่ ? หากจำกัดเพียงกำปั้น 

 

"เหมือนเราเริ่มฝึกมวยใหม่ๆ เลย ถึงแม้ว่าเราจะมีพื้นฐานมาจากมวยไทยแต่มวยสากลชกยากกว่ามาก มวยสากลต้องมีฟุตเวิร์คขาเราต้องขยับตลอดเวลา ในขณะที่มวยไทยเน้นการยืนปักหลักสู้กันกลางเวที สั้นด้วยแม่ไม้มวยไทย รอคู่แข่งใช้หมัด เข่า ศอก แข้งได้หมด เราชกแบบนี้มาตลอดก็เลยมีความกังวลอยู่บ้าง"

 

เด็กหญิงวัย 18 ยืดอกยอมรับด้วยความบริสุทธิ์ใจว่ากังวลที่สุดคือการปรับตัวให้เข้ากับศาสตร์การชกที่ถือได้ว่าเป็น 'ของใหม่' ทั้งกฏกติกาและคำจำกัดความของคำว่า "มวยสากล" ถึงแม้ว่าเธอจะมีพื้นฐานมาจากมวยไทยที่ใช้อวัยวะเกือบทุกส่วนของร่างกายมาเป็นอาวุธ แต่สำหรับมวยสากลหลักสำคัญคือ 'สองกำปั้น' กับอีก 'หนึ่งมันสมอง' พร้อมกับ 'ฟุตเวิร์ค' ที่เป็นแบบเฉพาะของมวยสากล

 

ครีมใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะคุ้นชินกับการสร้างฟุตเวิร์คและวิธีการออกอาวุธ มันไม่ใช่เรื่องง่ายกับการที่จะพลิกแพลงจากศาสตร์หนึ่งไปยังอีกศาสตร์หนึ่ง เธอต้องฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการชกที่เป็นสิ่งท้าทายใหม่สำหรับเธอ

 

"ช่วงปรับตัวหนูใช้เวลานานมาก ต้องฝึกฟุตเวิร์ค ฝึกการออกหมัด 1-2พื้นฐานมันไม่เหมือนกัน มวยไทยจะใช้เท้าเตะมากกว่าส่วนมวยสากลจะเน้นการออกหมัดกับการเต้น ตอนแรกหนูก็กลัวว่าจะทำไม่ได้เหมือนกัน แต่เราก็ตั้งใจซ้อมและคิดว่าต้องทำให้ได้"

 

ความกังวลถูกเปลี่ยนเป็นความตั้งใจและผลักดันให้เธอเดินต่อไปบนเส้นทางวิถีใหม่ กระทั่งท้ายที่สุดครีมก็สามารถก้าวข้ามความวิตกนั้นมาได้และตบเท้าเข้าสู่เส้นทางมวยสากลอย่างเต็มตัว

 

 

 

 

พลาดครั้งแล้วแต่ไม่มีครั้งเล่า

 

หลังจากที่ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย โอกาสแรกในการทดสอบฝีมือของเธอก็มาถึง ครีมถูกส่งชื่อให้เข้าร่วมการแข่งขันทัวร์นาเม้นต์ระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในรายการชิงแชมป์เยาวชนเอเชียปี 2018 ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก ถือได้ว่าเป็นการเปิดซิงสังเวียนผ้าใบในนามทีมชาติของเธอด้วยเช่นกัน

 

"ตอนแรกหนูก็คิดว่าเขาเอาเรามาซ้อมเฉย ๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องการติดทีมชาติเลย แต่พอรู้ว่าทางสมาคมฯ ส่งชื่อเราลงแข่งตอนนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ เพราะมันเป็นรายการแรกที่ได้ลงแข่งในนามทีมชาติแถมยังเป็นรายการใหญ่ แต่เราก็ตั้งใจแล้วว่าอยากจะทำให้ทุกคนได้เห็นว่าเราทำได้ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ดันทำไม่ได้ก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย อาจจะเพราะเรามีเวลาซ้อมที่น้อยกว่าคนอื่น ๆ เคลื่อนที่ได้ช้า ออกหมัดก็ไม่ดี แถมยังไม่เข้าใจหลักการชกมวยสากลมากเท่าไหร่นักก็เลยตกรอบแรก"

 

ทางด้านโค้ชผู้ฝึกสอนได้เข้ามาปลอบประโลมพร้อมกับประโยคที่เสมือนแรงผลักดันให้เธอสู้ต่อ "เราทำได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว ถือว่าเรามาแข่งเพื่อเก็บประสบการณ์" เธอย้ำคำพูดนั้นอีกครั้ง

 

ทว่า ปีต่อมาครีมก็ผงาดคว้าแชมป์ในรายการชิงแชมป์เยาวชนเอเชีย 2019 ที่เธอเคยพลาดมาเมื่อครั้งที่แล้วได้สำเร็จ พร้อมกับการการันตีว่าเธอคือยอดมวยด้วยตำแหน่งนักชกยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์อีกหนึ่งรางวัล

 

"หลังจากที่แพ้มาหนูก็ฝึกหนักขึ้น จริงจังมากขึ้น โค้ชจะเน้นในเรื่องการฟุตเวิร์ค การดึงจังหวะพลิกตัวซ้ายขวา การออกหมัดที่เร็วขึ้น ระหว่างปีก็มีทัวร์นาเมนต์ให้แข่งเพื่อเก็บประสบการณ์อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งได้มีโอกาสแก้ตัวกับรายการเดิมเราก็หวังว่าจะต้องทำให้ได้ คิดแค่ว่าเราต้องทำให้เต็มที่ มีสมาธิอยู่กับตัวเองให้มากขึ้นมันก็เลยทำให้ผลงานออกมาดีจนได้คว้าแชมป์มาครอง"

 

 

 

โอลิมปิกแรกในชีวิต

 

นับจากวันแรกที่ครีมก้าวเข้าสู่เส้นทางมวยสากลจนมาถึงวันที่เธอก้าวข้ามความผิดหวัง ประสบการณ์ที่เธอสั่งสมมาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า ส่งผลให้เธอคว้าสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จ ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเด็กหญิงคนหนึ่งที่แถบจะไร้พื้นฐานการชกมวยสากล แต่วันนี้เธอทำให้เห็นแล้วว่าความตั้งใจเท่านั้นที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

 

"พอรู้ว่าทางสมาคมฯ ส่งชื่อเราไปแข่งคัดเลือกโอลิมปิก เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย!มันใช่เราจริง ๆ เหรอ พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย (หัวเราะ) แต่พอรู้ว่าป็นเราจริงๆ ก็ตั้งใจซ้อมมากขึ้นและซ้อมหนักขึ้นกว่าเดิม พยายามมีสมาธิในการซ้อมเพราะเมื่อเรามีโอกาสแล้วเราต้องทำมันให้ได้ จริงๆ หนูก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ไปแข่งคัดเลือกหรอก แต่ในเมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้วก็ต้องทำให้เต็มที่"

 

"สิ่งสำคัญคือเราต้องมีสมาธิตลอดเวลา จะเผลอไม่ได้และต้องคิดตลอดด้วยว่าถ้าคู่ต่อสู้ชกแบบนี้เราจะแก้ทางยังไง เหมือนการชิงจังหวะการชก เราต้องตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ทันเพราะบางทีคู่ชกอาจจะไม่ได้ต่อยตามที่โค้ชบอกก็มี" ครีมเล่าถึงวิธีการชกในวันนั้นที่ทำให้เธอกลายเป็นนักชกที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ไปโชว์ฝีมือในโอลิมปิก 2020

 

 

 

ทุกย่างก้าวล้วนมีความหมาย

 

"หลังจากที่รู้ว่าเราได้ไปโอลิมปิกหนูดีใจมากถึงกับร้องไห้เลย มันเหนื่อยมากตลอด 2 ปี ซึ่งเราพยายามแบบเต็มที่มากๆ แล้วผลออกดีก็ดีใจมากๆ ทั้งที่ในตอนแรกสมาคมฯ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าหนูจะได้ไปโอลิมปิก เขาบอกแค่ว่าพยายามทำให้เต็มที่ มันทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้กดดันเรา หนูก็เลยทำออกมาได้ดี ถ้าเขากดดันเรามากกว่านี้หรือคาดหวังกับเรา ไม่แน่ว่าหนูอาจจะทำไม่ได้เพราะเราพึ่งจะเริ่มมาต่อยมวยสากลได้เพียงแค่ 2 ปีเอง"

 

ประโยคที่เปี่ยมไปด้วยความตื้นตันในวินาทีที่เธอรู้ว่าทำสำเร็จ มันแสดงออกมาด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ คลับคล้ายเป็นการปลดปล่อยความอัดอั้นจากความเหนื่อยล้าที่เธอฝ่าฟันมาตลอดระยะเวลา 2 ปีล้วนมาจากความตั้งใจและทุ่มเท พร้อมกับความกล้าที่จะฉีกกฏเกณฑ์เดิม ๆ ที่หลอมรวมเป็นเธอมาตั้งแต่เด็กจากมวยไทยสู่มวยสากลมันเป็นความท้าทายใหม่ที่เธออาจไม่ได้สัมผัสหากยังจำกัดตัวเองอยู่ในกรอบที่จำเจ

 

"มันมีความหมายกับเรามากเพราะว่าถ้าเราทำได้ก็จะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดด้วย แต่ก็ไม่กล้าคาดหวังเยอะ เพราะคนเก่งๆ มันเยอะแต่ก็อยากได้เหรียญรางวัลเหมือนกันทุกวันนี้การซ้อมก็หนักมากๆ หนักสุดๆ โค้ชอัดเต็มที่ตั้งแต่เช้าหกโมงครึ่งถึงเก้าโมง ช่วงเย็นก็ตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงหกโมงเย็น ช่วงเช้าจะเน้นด้านพละกำลังให้วิ่ง เล่นเวทฯ  การสปีด ส่วนตอนเย็นก็มาเสริมเรื่องแท็กติกและเทคนิคในการชก" 

 

"ถึงตอนนี้หนูคิดว่าทางสมาคมฯ ก็หวังกับเราแล้วเหมือนกัน (หัวเราะ) หนูหวังแค่เหรียญทองแดงก็พอใจแล้ว เพราะจากที่หนูฝึกซ้อมมาหนูว่าร่างกายฟิตพอที่จะไปถึงรอบนั้น แต่ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี แค่เราทำให้ได้ตามที่เราซ้อมมา ชกในสไตล์ของตัวเอง ที่สำคัญเราต้องมีสมาธิ ถึงตอนนี้หนูไม่มีคำว่าท้อและพร้อมที่จะสู้"

 

อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของใครบางคน หากแต่เรากล้าที่จะ Move on. เพื่อมองหาความหวังในเส้นทางที่ต่างออกไป ขอเพียงแค่มีสมาธิ ตั้งใจและทุ่มเทให้กับสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ ความสำเร็จคงไม่ไกลเกินเอื้อม เฉกเช่น 'ครีม' ใบสน มณีก้อน นักชกหญิงที่กล้าผันตัวเองจากความจำเจเพื่อกุยทางสู่โอลิมปิก พร้อมกับการถูกจารึกชื่อลงหน้าประวัติศาสตร์วงการกำปั้นไทยเป็นที่เรียบร้อย


stadium

author

จิรวัฒน์ จามะรี

ฉันจะพาเธอลอยล่องไปในอวกาศ ในวันที่ฝนตกลงที่หน้าต่างในตอนเช้า

stadium olympic