13 พฤษภาคม 2567
นับตั้งแต่เริ่มการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกเมื่อปี 1896 ผ่านมาถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่าศตวรรษ ในการแข่งขันทุกสมัยย่อมมีเหตุการณ์ที่เป็นที่สุดในประวัติศาสตร์ของโอลิมปิก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเหรียญรางวัล สถิติ หรือเหตุการณ์ประทับใจ ที่แฟนกีฬานึกถึงอยู่เสมอแม้จะผ่านช่วงเวลานั้น ๆ ไปนานมากแล้วก็ตาม
แล้วเรื่องใดบ้างที่เป็นที่สุดของทีม Stadium TH ติดตามได้ที่นี่
เก่งที่สุด : ไมเคิล เฟลป์ส
แน่นอนว่าหากพูดถึงนักกีฬาที่เก่งที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโอลิมปิกแล้ว คงไม่มีใครเกิน ไมเคิล เฟลป์ส ตำนานฉลามหนุ่มชาวอเมริกัน ผู้ครองสถิติเจ้าเหรียญทองโอลิมปิกตลอดกาล จากการทำไปถึง 23 เหรียญทองในการลงแข่งตั้งแต่ปี 2000-2016 รวมทั้งยังเป็นนักกีฬาที่ได้เหรียญโอลิมปิกมากที่สุด (28) และเป็นนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองจากการแข่งสมัยเดียวมากที่สุด (8 เหรียญทองปี 2008) อีกด้วย
เด็กที่สุด : มาร์จอรี่ เกสตริง
ใครจะไปเชื่อว่าเด็กหญิงอายุเพียง 13 ปี กับ 268 วัน จะสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเภทบุคคล แต่ มาร์จอรี่ เกสตริง ตำนานนักกระโดดน้ำชาวอเมริกัน กลับทำให้โลกเห็นจากการคว้าแชมป์ประเภทสปริงบอร์ด 3 เมตรในปี 1936 ถึงแม้ว่าตามหน้าประวัติศาสตร์แล้วยังมีนายท้ายของทีมเรือกรรเชียงเนเธอร์แลนด์ชุดเหรียญทองปี 1900 จะเด็กกว่าเธออย่างน้อย 1 ปีหรือมากกว่านั้นก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่นักกีฬาจริงจังเป็นเพียงเด็กท้องถิ่นที่ทีมดึงตัวไปใช้งานแบบกะทันหันทำให้ไม่มีฐานข้อมูลอย่างละเอียด ดังนั้น เกสตริง จึงคู่ควรกับตำแหน่งนี้มากกว่าด้วยประการทั้งปวง อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่เธอได้ลงแข่งครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายหลังจากสงครามโลกทำให้ โอลิมปิกปี 1940 และ 1944 ต้องถูกยกเลิก
อายุมากที่สุด : ออสการ์ สวอห์น
ตำนานนักแม่นปืนชาวสวีเดนไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของสถิตินักกีฬาอายุมากที่สุดจากการลงแข่งในปี 1920 เท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของสถิตินักกีฬาอายุมากที่สุดที่คว้าเหรียญโอลิมปิกในปีดังกล่าว รวมถึงครองสถิตินักกีฬาอายุมากที่สุดที่คว้าเหรียญทองตอนที่ลงแข่งเมื่อปี 1912 ด้วยวัย 64 ปีอีกด้วย ขณะเดียวกันเขายังผ่านการคัดเลือกในปี 1924 แต่ไม่ได้ลงแข่งเนื่องจากมีอาการป่วย ซึ่งรายการสวอห์นเชี่ยวชาญคือ "running deer" หรือการยิงเป้าเคลื่อนไหว ไม่ใช่การยิงกวางจริง ๆ แต่อย่างใด
แข่งมากที่สุด : เอียน มิลลาร์
การลงแข่ง ลอนดอน เกมส์ ในปี 2012 ด้วยวัย 65 ปี ทำให้เขากลายเป็นนักกีฬาคนแรกที่ลงแข่ง โอลิมปิก เกมส์ 10 สมัย ซึ่งความจริงแล้วเจ้าของฉายา "กัปตันแคนาดา" น่าจะทำสถิติได้ถึง 12 สมัย ถ้าชาติบ้านเกิดไม่บอยค็อตต์การแข่งขันที่กรุงมอสโกในปี 1980 รวมทั้งหากม้าตัวเก่งของเขาไม่ต้องรับการผ่าตัดจนทำให้พลาดลงแข่งที่ ริโอ เดอ จาเนโร ในปี 2016 โดยความสำเร็จสูงสุดของมิลลาร์คือการคว้าเหรียญเงินที่กรุงปักกิ่งเมื่อปี 2008
อึดที่สุด : เอมิล ซาโตเป็ก
การแข่งวิ่งระยะไกลคือหนึ่งในประเภทกีฬาที่วัดความอึดของมนุษย์ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่มีการแข่งขันโอลิมปิกมา 31 ครั้ง มีนักกีฬาเพียงคนเดียวที่สามารถกวาดเหรียญทองในระยะ 5,000 เมตร, 10,000 เมตร และ มาราธอน ในการแข่งขันสมัยเดียวกันนั่นก็คือ เอมิล ซาโตเป็ก ตำนานนักวิ่งชาวเช็กที่สร้างความตื่นตะลึงให้คนทั่วโลกในปี 1952 จากการคว้าทั้ง 3 เหรียญทองในการแข่งที่กรุงเฮลซิงกิรวมทั้งเป็นการทำลายสถิติโอลิมปิกทั้งหมด และที่ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการลงแข่งมาราธอนครั้งแรกในชีวิตจากการตัดสินใจนาทีสุดท้าย โดยไม่รู้วิธีการวิ่งในประเภทนี้มาก่อนอีกด้วย
ใจสู้ที่สุด : เคอร์รี่ สตรัก
สำหรับนักกีฬาแล้ว การได้เหรียญทองโอลิมปิกสักครั้งถือเป็นที่สุดของชีวิต และหากว่าเหรียญทองนั้นเป็นการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศแล้ว ต่อให้ต้องแลกกับอะไรพวกเขาก็คงยอมแบบไม่มีข้อแม้ เหมือนการแข่งขันโอลิมปิกปี 1996 ที่ เคอร์รี่ สตรัก กัดฟันทนอาการบาดเจ็บเอ็นข้อเท้าฉีก ลงแข่งม้ากระโดดครั้งสุดท้าย ก่อนช่วยให้สหรัฐฯ คว้าเหรียญทองยิมนาสติกประเภททีมหญิงเป็นครั้งแรก ซึ่งหลังจากการแข่งครั้งนั้นเธอก็ไม่สามารถเล่นยิมนาสติกในระดับสูงได้อีกเลย และต้องรีไทร์ไปในที่สุด
น่าทึ่งที่สุด : วิลม่า รูดอล์ฟ
การคว้า 3 เหรียญทองจากการแข่งวิ่งระยะสั้น 100 เมตร, 200 เมตร และ 4x100 เมตร ของ วิลม่า รูดอล์ฟ ในปี 1960 นั้นก็เป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากพออยู่แล้ว แต่นอกจากการที่เธอเป็นนักกีฬาหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ที่คว้า 3 เหรียญทองจากการแข่งสมัยเดียวกัน ในสมัยเด็กของเธอนั้นยังเคยมีสภาวะเสี่ยงต่อการเป็นโรคโปลิโอที่ขาข้างซ้าย จนต้องใช้โครงขาช่วยเดินถึงอายุ 12 ขวบ ก่อนจะเอาชนะโรคประจำตัว และกลายเป็นผู้หญิงที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกได้สำเร็จ
ม้ามืดที่สุด : ทีมชาติไนจีเรีย
ในกีฬาฟุตบอลนั้นรู้กันดีว่าชาติมหาอำนาจคือทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตามในโอลิมปิกปี 1996 ประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อ ไนจีเรีย ทำผลงานเหลือเชื่อเอาชนะได้ทั้ง บราซิล และอาร์เจนตินา คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ ซึ่งแม้จะเป็นชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศจากรายชื่อที่มีทั้ง เอ็นวานโก คานู, เจย์-เจย์ โอโคชา, ตาริโบ เวสต์ แต่คงไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะ บราซิล ที่มี โรนัลโด้, ริวัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส และเบเบโต้ ในรอบรองชนะเลิศ ตามด้วยเอาชนะทีมชาติอาร์เจนตินา ที่มี เฮอร์นาน เครสโป, เคลาดิโอ โลเปซ, ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ และฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ในรอบชิงชนะเลิศ คว้าเหรียญทองไปครองได้อย่างเหลือเชื่อ
เปลี่ยนโลกที่สุด : ดิ๊ค ฟอสบิวรี่
การจะเป็นที่สุดของโลกโดยเฉพาะในการแข่งขันโอลิมปิก เรื่องเทคนิคหรือนวัตกรรมย่อมมีส่วนสำคัญ เพราะหากคิดล่วงหน้ากว่าคนอื่น หรือก้าวไปไกลกว่าคนอื่น ย่อมทำให้ได้เปรียบมากกว่า และตลอดการแข่งขันโอลิมปิกทุกครั้งที่ผ่านมา คงไม่มีการคิดค้นไหนจะเปลี่ยนแปลงโลกกีฬาได้เท่าท่ากระโดดสูงที่ทำให้ ดิ๊ค ฟอสบิวรี่ คว้าเหรียญทองปี 1968 อีกแล้ว เพราะปัจจุบัน "Fosbury Flop" คือท่าที่นักกระโดดสูงใช้กันทั่วโลก
มีน้ำใจนักกีฬาที่สุด : นิกกิ้ แฮมบลิน และ แอ๊บบี้ ดากอสติโน่
เรื่องของน้ำใจหรือสปิริตนักกีฬาคือสิ่งที่่โอลิมปิกเชิดชูมาตลอด แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโอลิมปิกอยู่เสมอ ที่ชัดเจนที่สุดคือการแข่งขันวิ่ง 5,000 เมตรหญิงรอบคัดเลือก ฮีตที่ 2 ในปี 2016 เมื่อ นิกกิ้ แฮมบลิน ของ นิวซีแลนด์ และ แอ๊บบี้ ดากอสติโน่ ของสหรัฐฯ เกิดอุบัติเหตุสะดุดล้มจนถูกทิ้งห่างออกจากกลุ่ม รวมทั้งมีอาการบาดเจ็บ แต่ทั้งคู่กลับช่วยเหลือกันและกันให้วิ่งจนถึงเส้นชัย ซึ่งแม้จะไม่ผ่านเกณฑ์แต่คณะกรรมการก็ตัดสินให้ได้ไปลงแข่งในรอบชิงฯ เพื่อเชิดชูสปิริตนักกีฬาของพวกเธอ
TAG ที่เกี่ยวข้อง