stadium

ไนจีเรีย ปาฏิหาริย์เหรียญทองปี 1996 ที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนัง

20 กรกฎาคม 2567

ในกีฬาฟุตบอลนั้นรู้กันดีว่าชาติมหาอำนาจคือทีมจากยุโรปและอเมริกาใต้ทั้ง เยอรมนี, อิตาลี, ฝรั่งเศส, สเปน, อังกฤษ, บราซิล, อาร์เจนติน่า และอุรุกวัย คือทีมที่เคยผ่านการเป็นแชมป์โลก หรือแม้แต่ในการแข่งขันโอลิมปิก ชาติที่ก้าวไปคว้าเหรียญทองก็ล้วนมาจาก 2 ทวีปนี้เท่านั้น

 

อย่างไรก็ตามในโอลิมปิกปี 1996 ประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อ ไนจีเรีย ทำผลงานเหลือเชื่อเอาชนะได้ทั้ง บราซิล และอาร์เจนตินา คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ

 

การได้แชมป์ฟุตบอลรายการใหญ่เป็นครั้งแรกของชาติจากแอฟริกา ก่อให้เกิดกระแสตื่นตัวของวงการลูกหนังแดนกาฬทวีป และเป็นแรงกระตุ้นให้ แคเมอรูน คว้าเหรียญทองได้สำเร็จในอีก 4 ปีต่อมา

 

เหรียญทองของทีมอินทรีมรกตที่เรียกกันว่าเป็นชุด "ดรีมทีม" ในครั้งนั้น เปลี่ยนมุมมองทั่วโลกที่มีต่อนักเตะแอฟริกัน และยังลบคำประสบประมาทที่ว่าพวกเขามีดีแค่ศักยภาพทางร่างกายที่เหนือกว่าชาติอื่น ๆ

 

ใครคือขุนพลของไนจีเรียชุดประวัติศาสตร์ และพวกเขาสร้างตำนานได้อย่างไร ติดตามได้ที่นี่

 

 

จุดเริ่มต้นที่มาจากแชมป์โลกยู-17 และความผิดหวังในฟุตบอลโลก 1994

 

ประวัติศาสตร์ลูกหนังไนจีเรีย แบ่งออกง่าย ๆ เป็น 2 ยุค คือยุคก่อนปี 1994 ซึ่งจัดว่าเป็นยุคมืด และยุคหลังจากปี 1994 โดยเฉพาะปี 1996 ที่ถือเป็นยุครุ่งเรือง

 

ในฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าภาพนั้น ไนจีเรีย สร้างความฮือฮาด้วยการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีม ทั้งที่เพิ่งลงแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นหนแรก นอกจากนั้นพวกเขายังเกือบเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ หลังขึ้นนำ อิตาลี 1-0 ถึงนาทีที่ 88 ก่อนโดน โรแบร์โต้ บาจโจ้ ตีเสมอ และยิงจุดโทษเป็นประตูชัยในการต่อเวลาพิเศษ  

 

ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นเป็นผลให้ เคลเมนส์ เวสเตอร์ฮอฟ โค้ชชาวดัตช์ของไนจีเรียต้องลงจากตำแหน่งและให้ผู้ช่วยคุมทีมแทน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น โย บอนเฟรเร่ ในเวลาต่อมา ซึ่งภารกิจหลักของเขาคือพาอินทรีมรกตกลับไปยังดินแดนเสรีภาพลุยศึกโอลิมปิกปี 1996  

 

ไนจีเรียชุดลุยศึกที่แอตแลนตาได้ผู้เล่นบางคนจากชุดฟุตบอลโลกปี 1994 ไปเสริมทีม ที่สำคัญคือ อูเช่ โอเคชุควู ปราการหลังกัปตันทีมชุดใหญ่ที่ถูกดึงเข้ามาเป็น 1 ใน 3 แข้งโควตาอายุเกิน 23 ปี เช่นเดียวกับ เอ็มมานูเอล อมูนิเก้ ผู้ทำประตูในขึ้นนำอิตาลีในฟุตบอลโลกปี 1994 รวมทั้งยังมี ซันเดย์ โอลิเซ่ห์ และ เจย์-เจย์ โอโคชา ที่ผ่านเวทีฟุตบอลโลกมาแล้ว แม้อายุเพียง 20 ต้น ๆ ก็ตาม

 

ขณะเดียวกัน อินทรีมรกตชุดนั้นยังประกอบไปด้วยแข้งที่มาจากชุดแชมป์โลก ยู17 ปี 1993 ไม่ว่าจะเป็น เอ็นวานโก คานู, วิลสัน โอรูม่า และเซเลสติน บาบาเยโร่ ซึ่งล้วนแล้วแต่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเล่นในยุโรปกันหมดแล้ว  

 

แม้จะเป็นการรวมกันของนักเตะต่างรุ่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้มีการแตกแยก หรือขาดความสมดุลในทีม ตรงกันข้าม ไนจีเรียชุดนี้กลับรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวจนสร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ

 

 

รอบแรกที่ต้องลุ้นถึงนัดสุดท้าย

 

รอบแรกไนจีเรียถูกจับสลากมาร่วมกลุ่มกับ บราซิล ตัวเต็งที่เรียกตัวนักเตะชุดแชมป์โลกปี 1994 มาด้วยหลายรายทั้ง เบเบโต้, อัลดาเอียร์, โรนัลโด้, โรแบร์โต้ คาร์ลอส บวกด้วยริวัลโด้, ญี่ปุ่น ที่คุมทีมโดย อากิระ นิชิโนะ เฮดโค้ชทีมชาติไทยคนปัจจุบัน และมี ฮิเดโตชิ นากาตะ อยู่ในทีม รวมทั้ง ฮังการี ตัวแทนจากยุโรป ผ่านไป 2 นัดแรก ไนจีเรีย เก็บ 6 คะแนนเต็ม จากการเฉือนชนะ ฮังการี 1-0 และชนะญี่ปุ่น 2-0 ถ้าเป็นสถานการณ์ทั่ว ๆ ไป อินทรีมรกตควรจะได้ผ่านเข้ารอบสบาย ๆ

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือ ก่อนเกมนัดสุดท้าย บราซิล กลับมีเพียง 3 คะแนน จากการแพ้ญี่ปุ่นในนัดแรก ดังนั้น ไนจีเรีย จึงยังมีโอกาสตกรอบหากแพ้บราซิล และญี่ปุ่นเอาชนะฮังการีแบบขาดลอย

 

จบ 90 นาที ไนจีเรีย ต้านบราซิลไม่ไหวแพ้ไป 0-1 จากประตูชัยของโรนัลโด้ แต่ยังดีที่ ญี่ปุ่น ชนะ ฮังการี 3-2 ทำให้ลูกได้เสียเป็นรอง จึงเป็นทีมของ บอนเฟรเร่ ที่เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศตามทีมแซมบ้า

 

 

ชัยชนะสวยหรูเหนือเม็กซิโก

 

ถึงแม้จะผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศได้ แต่ฟอร์มของไนจีเรียก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอยนัก บอนเฟรเร่ ยังคงคิดไม่ตกเรื่องคู่ศูนย์หน้า เพราะแม้ อมูนิเก้ จะโดดเด่นในฟุตบอลโลก แต่ก็ถูกเปลี่ยนตัวออกทุกนัด ขณะที่การจับคู่ของ คานู กับ ดาเนียล อโมคาชี่ ก็ยังไม่ประทับใจเท่าที่ควร

 

อย่างไรก็ตาม ในเกมรอบ 8 ทีมกับ เม็กซิโก พวกเขาไม่ต้องกังวลกับเรื่องเกมรุกนานนัก เพราะแค่นาทีที่ 20 โอโคชา ก็ยิงไกลให้ทีมขึ้นนำ ก่อนที่ บาบาเยโร่ จะยิงย้ำชัยในช่วง 6 นาทีสุดท้าย พาทีมเข้ารอบรองชนะเลิศได้อย่างยอดเยี่ยม

 

มาถึงจุดนี้ เกมรับกลายเป็นจุดแข็งของ ไนจีเรีย การจับคู่กันของ โอเคชุควู กับ ตาริโบ เวสต์ ยากที่ใครจะเจาะได้ เมื่อพวกเขาลงเล่น 4 เกม ยิงได้ 5 ประตู เสียเพียง 1 ลูกเท่านั้น แต่เกมต่อไปคือบททดสอบสำคัญ เมื่อต้องรีแมตช์กับ บราซิล

 

 

ละครชีวิตในรอบรองชนะเลิศ

 

เกมรอบรองชนะเลิศ ไม่มีใครคิดว่า ไนจีเรีย จะผ่านบราซิลไปได้ จากองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ทั้งจากประสบการณ์ในรายการใหญ่, ชื่อชั้นของนักเตะ, ฟอร์มที่เจอกันมาในรอบแบ่งกลุ่ม และการขาด โอลิเซ่ห์ กองกลางคนสำคัญจากโทษแบน  

 

บราซิล ขึ้นนำอย่างรวดเร็วจากฟรีคิกของ ฟลาวิโอ คอนไซเซา ตั้งแต่นาทีแรก ที่ยิงเรียดทะลุกำแพงและผ่านมือ โยเซฟ โดซู เข้าสู่ก้นตาข่าย จากนั้น การจับคู่กันของ โรนัลโด้ กับ เบเบโต้ ในแดนหน้า ปั่นป่วนไนจีเรียได้อย่างไม่หยุดหย่อน แต่กลายเป็นว่า อินทรีมรกต ตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 20 เมื่อลูกกึ่งยิงกึ่งผ่านของ บาบาเยโร่ โดน คาร์ลอส สกัดเข้าประตูตัวเอง

 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นาทีที่ 20 ซึ่งพวกเขาตีเสมอ ไปถึง 15 นาทีสุดท้าย ไนจีเรีย กลายสภาพเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว เริ่มจาก เบเบโต้ ที่ซ้ำลูกยิงของ โรนัลโด้ ให้บราซิลขึ้นนำอีกครั้งในนาทีที่ 28 ก่อนที่ คอนไซเซา จะทำประตูที่ 2 ของตัวเองในนัดนี้ก่อนหมดครึ่งแรก 7 นาที

 

ทัพแซมบ้า เหนือกว่าทุกกระบวนท่า และเฉือนเกมรับของ ไนจีเรีย ออกเป็นริ้ว ๆ พวกเขาครองสกอร์ขึ้นนำ 3-1 ถึงช่วง 15 นาทีสุดท้าย ทั่วโลกต่างคิดว่าตั๋วรอบชิงชนะเลิศอยู่ในมือลูกทีมของ มาริโอ ซากัลโล่ แน่นอนแล้ว ซึ่งจะทำให้ได้ดูเกม ซูเปอร์ กลาซิโก้ ระหว่าง บราซิล กับ อาร์เจนตินา ในศึกชิงเหรียญทอง หลังทัพฟ้าขาวเอาชนะโปรตุเกส 2-0

 

แต่แล้ว ความประมาท เป็นหนทางสู่หายนะ เมื่อบราซิลที่ผ่อนเกม เริ่มประกบตัวหละหลวม เปิดช่องให้ วิคเตอร์ อิ๊กเปบ้า ตัวสำรอง ได้ยิงตีตื้นเป็น 2-3 ในนาทีที่ 78 จุดประกายความหวังให้ทีมของ บอนเฟรเร่

 

เท่านั้นไม่พอ ไนจีเรีย มาได้จุดโทษในช่วงไม่กี่นาทีก่อนจบเกม พวกเขามีโอกาสใกล้เคียงที่สุดที่จะตีเสมอ แต่ลูกยิงของ โอโคชา กลับถูกดีด้าเดาทางถูกอย่างน่าเสียดาย

 

มาถึงตรงนี้ใครก็เชื่อว่าชัยชนะคงเป็นของบราซิลแน่แล้ว ยกเว้นเพียงคนเดียวคือ เอ็นวานโก้ คานู  

 

นาทีสุดท้าย ไนจีเรีย ได้ลูกทุ่มทางริมเส้นด้านขวาในแดนของ บราซิล ซึ่งหากบุกชุดนี้ไม่ได้ผล ก็เตรียมไปรอเล่นเกมชิงเหรียญทองแดงได้เลย

 

โอโคชาทุ่มไกลเข้ากรอบเขตโทษ วิลสัน โอรูม่า ขึ้นโหม่งผิดจังหวะ แต่ก็ทำให้นักเตะบราซิลเสียจังหวะไปด้วย บอลไปเข้าทาง เทสลิม ฟาตูชี่ ที่ได้หาจังหวะยิง แต่โดนบอลไม่ดี อย่างไรก็ตามกลับทะลุไปเข้าเท้าคานูที่รออยู่หน้าปากประตู ก่อนที่หัวหอกหมายเลข 4 จะกระดกบอลและวอลเลย์ด้วยขวาผ่านตัวดีด้าเข้าไปอย่างเหนือชั้น ตีเสมอได้ราวปาฏิหาริย์  

 

เกมต้องหาผู้ชนะด้วยการต่อเวลาพิเศษโดยใช้กฎโกลเดนโกล ณ ตอนนี้ คาดเดาไม่ได้แล้วว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัย แต่เล่นไปได้เพียง 4 นาที ประตูตัดสินเกมก็มาจากนักเตะที่เป็นตัวความหวังของ ไนจีเรีย นั่นก็คือ คานู ผู้รับบทฮีโร่อีกครั้ง หลังกระชากบอลเข้าไปยิงด้วยซ้ายอย่างเด็ดขาด ปิดฉากเกมสุดดราม่าอย่างสมบูรณ์แบบ

 

ไนจีเรียได้ก้าวเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเพื่อสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการลูกหนัง

 

 

ปาฏิหาริย์แห่งนัดชิงฯ

 

อาร์เจนตินา คู่แข่งของ ไนจีเรีย ในรอบชิงชนะเลิศ เรียกนักเตะมาฟูลทีมไม่แพ้ชาติอื่น ๆ เนื่องจากเหรียญทองโอลิมปิกคือความสำเร็จเดียวที่พวกเขายังไม่เคยสัมผัส ณ เวลานั้น (ก่อนจะคว้าแชมป์ 2 สมัยติดในปี 2004, 2008) ทีมฟ้าขาวชุดนี้นำมาโดย อาเรียล ออร์เตก้า, เฮอร์นาน เครสโป, เคลาดิโอ โลเปซ, ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ และดิเอโก้ ซิเมโอเน่ ซึ่งต่างกำลังค้าแข้งในยุโรป  

 

แน่นอนไม่มีใครเชื่อว่าไนจีเรียจะหักปากกาเซียนได้อีกครั้งในรอบชิงชนะเลิศ และแค่เริ่มเกมไปเพียง 3 นาที พวกเขาก็ตกเป็นรองจากลูกโหม่งของ เคลาดิโอ โลเปซ แต่ 17 นาทีต่อมา บาบาเยโร่ ก็โหม่งตีเสมอได้สำเร็จ แสดงให้เห็นว่า การตีเสมอบราซิลในรอบรองฯ ได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย  

 

แต่แล้วก็เหมือนหนังฉายซ้ำ เมื่อ ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า เป่าให้จุดโทษแก่อาร์เจนตินา หลังเริ่มครึ่งหลังไปได้ 5 นาที และเป็น เครสโป ยิงประตูที่ 6 ของตัวเองในทัวร์นาเมนต์ได้สำเร็จ  

 

มาถึงตรงนี้ ทุกคนต่างคิดว่า เทพนิยายของไนจีเรียคงถึงตอนอวสาน ทุกคนยกเว้นทีมไนจีเรีย

 

คราวนี้ประตูตีเสมอไม่ต้องรอนาน เมื่อ ดาเนียล อโมคาชี่ จัดให้ในนาทีที่ 74 จากนั้นประตูแห่งประวัติศาสตร์ก็มาถึงในนาทีสุดท้าย เมื่อ ไนจีเรีย ได้ฟรีคิก และอาร์เจนตินา พยายามใช้กับดักล้ำหน้า แต่ โรแบร์โต้ เซนซินี่ กลับออกตัวช้ากว่าเพื่อน ทำให้ อมูนิเก้ ได้หลุดเดี่ยวโล่ง ๆ และทำประตูชัยได้สำเร็จ

 

เมื่อถึงเวลาสิ้นเสียงนกหวีด คนดูกว่า 86,000 คนในสนามต่างโห่ร้องแสดงความปลาบปลื้มยินดี เพราะเป็นครั้งแรกที่ทีมจากแอฟริกาคว้าเหรียญทองโอลิมปิก

 

 

ช่วงเวลาแห่งความสุข

 

"ผมยืนยันกับคุณได้เลยตอนนี้ว่า ทุกคนในแอฟริกากำลังเฉลิมฉลอง ไม่มีใครนอนหลับในคืนนี้ ทุกคนจะมีแต่ความสุข เพราะสิ่งนี้มอบให้กับทุกชาติในแอฟริกา" นั่นคือคำพูดของ ซันเดย โอลิเซ่ห์ หลังจบการแข่งขัน  

 

ไนจีเรีย สร้างประวัติคัมแบ็กครั้งใหญ่ที่สุดในโอลิมปิกถึง 2 นัดติดต่อกัน ทั้งที่ทีมต้องเจออุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์การเมืองในประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองโดย พลเอก ซานี่ อาบาชา ซึ่งยึดอำนาจด้วยการทำรัฐประหาร, คนในประเทศต้องทุกข์ยาก, ต้องเจอคู่แข่งที่เป็นนักเตะชั้นนำของโลกและบรรดาดาวรุ่งที่กำลังได้รับการจับตามอง แต่พวกเขาผ่านมันมาได้ทั้งหมด

 

ความสำเร็จคือสิ่งที่คู่ควรกับพวกเขาเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ เหมือนอย่างเช่นที่ คานู กล่าวเอาไว้ว่า อาร์เจนตินา ก็เหมือนทีมอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่ แอตแลนตา คือเป็นทีมที่ดี แต่ไนจีเรียคือทีมที่ได้เหรียญทอง  

 

หลังจบการแข่งขัน ทีมเดินทางกลับประเทศโดยได้รับการต้อนรับอย่างวีรบุรุษ และได้รับของขวัญรวมทั้งเงินโบนัสมากมาย หลายคนในทีมเป็นแค่วัยรุ่น หรือเพิ่งเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ แต่กับไนจีเรียในช่วงเวลานั้นแล้ว พวกเขาคือตำนาน

 

เหรียญทองในคร้้งนั้นทำให้ชาวไนจีเรียเฉลิมฉลองไปได้หลายชั่วอายุคน สร้างแรงบันดาลใจให้คนนับล้าน และมอบรอยยิ้มให้ผู้คนลืมความยากลำบาก นับจากจุดนั้น ผู้เล่นหลาย ๆ คนอาจจะได้เกียรติยศเพิ่มเติมมาประดับบารมี แต่คงไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะมายิ่งใหญ่และตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขามากไปกว่า ความสำเร็จที่ แอตแลนตา ในปี 1996 


stadium

author

ณัฐกร ทองนพเก้า

StadiumTH Content Creator

stadium olympic