stadium

ความเป็นมาของ การจุดคบเพลิงโอลิมปิก เปลวไฟแห่งความหวัง

17 เมษายน 2567

การวิ่งคบเพลิงโอลิมปิก ถือเป็นหนึ่งในพิธีสำคัญที่สื่อว่ามหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติกำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่ก่อนจะมีการวิ่งนั้น ต้องมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ในการจุดเพลิงโอลิมปิก ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ ต้นกำเนิดของกีฬาโอลิมปิก

 

แต่กว่าจะมาเป็นพิธีที่เปี่ยมมนต์ขลัง พร้อมไปกับการเชื่อมโยงปกรณัมกรีกโบราณอย่างทุกวันนี้ การจุดคบเพลิงโอลิมปิกมีที่มาอย่างไร ติดตามได้ที่นี่

 

 

จากเขาโอลิมปัสสู่สนามโอลิมปิก

 

สำหรับเพลิงโอลิมปิกที่เป็นสัญลักษณ์ของ โอลิมปิก สมัยใหม่ มาจากแนวคิดริเริ่มของ แยน วิลส์ สถาปนิกชาวดัตช์ผู้ออกแบบสนามแข่งโอลิมปิก ฤดูร้อนปี 1928 ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

 

วิลส์ ได้ไอเดียมาจากยุคกรีกโบราณที่มีการรักษาไฟศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ตลอดการแข่งขันโอลิมปิกดั้งเดิม ณ แท่นบูชาในวิหารแห่ง เฮสเทีย โดยในเทพปกรณัมกรีกโบราณนั้น ไฟมีความหมายในเชิงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อว่า โพรมีธีอุส หนึ่งในยักษ์ไททันที่ช่วยเทพซุสเอาชนะโครนอส ขโมยจากเทือกเขาโอลิมปัสนำมามอบให้แก่มนุษย์ ทำให้ทุกวิหารศักดิ์สิทธิ์ในยุคกรีกโบราณจะมีการจุดไฟเพื่อสักการะบูชาเทพเหล่านั้น

 

และในการแข่งขันโอลิมปิกยุคโบราณทุก ๆ 4 ปี ไฟศักดิ์สิทธิ์จึงถูกจุดขึ้นเพิ่มเติม ณ วิหารแห่งซุส และวิหารแห่งเทพีเฮราภรรยาเพื่อเป็นการสักการะบูชาเทพสูงสุด ซึ่งในโอลิมปิกสมัยใหม่ก็มีการจุดไฟศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ณ ที่ตั้งของวิหารแห่งเฮราในอดีต

 

ดังนั้นการจุดเพลิงโอลิมปิกจึงเหมือนเป็นสิ่งเชื่อมต่อโอลิมปิกโบราณและโอลิมปิกสมัยใหม่เข้าด้วยกัน

 

อย่างไรก็ตามในการจุดเพลิงโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกไม่ได้มีพิธีรีตองมากมาย รวมทั้งไม่ได้ให้นักกีฬาผู้มีชื่อเสียงเป็นผู้จุดไฟกระถางคบเพลิงเหมือนอย่างในปัจจุบัน ขณะที่ มาราธอน ทาวเวอร์ หอคอยที่ตั้งกระถางคบเพลิงก็แยกออกจากสนาม โอลิมปิก สเตเดี้ยม ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในสนาม ต่างกับที่ ลอส แองเจลิส 4 ปีต่อมาที่กระถางคบเพลิงอยู่เหนือซุ้มประตูทางเข้า

 

 

 

พิธีศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มจากต้นกำเนิด

 

ขณะที่พิธีจุดไฟศักดิ์สิทธิ์และการวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกนั้น เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขันอยากให้พิธีย้อนไปจัดที่รากเหง้าของโอลิมปิก ณ เมืองโอลิมเปีย ก่อนจะได้รับการปฏิบัติตามสืบต่อมาทุกปี และแนวคิดเรื่องการวิ่งคบเพลิงก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันจากมันสมองของ คาร์ล เดียม อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยและนักทฤษฎีด้านกีฬาที่เป็นเลขาธิการทั่วไปของฝ่ายจัดการแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 11 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการการวิ่งคบเพลิงของยุคกรีกโบราณ

 

การตัดสินใจนี้ยังได้ถูกบันทึกในกฎบัตรโอลิมปิกข้อที่ 13 มาจนถึงปัจจุบันว่า "เพลิงโอลิมปิกคือไฟซึ่งถูกจุดขึ้นที่โอลิมเปียภายใต้การรับรองของไอโอซี"

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการโอลิมปิกเฮลเลนิค (กรีซ) เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดพิธีจุดคบเพลิงที่วิหารแห่งเฮรา รวมทั้งจัดการเรื่องการวิ่งคบเพลิงไปยัง พานาเธเนค สเตเดี้ยม ในกรุงเอเธนส์ หนึ่งในสนามที่ใช้จัดการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรกเมื่อปี 1896

 

เช่นเดียวกับสมัยโบราณและได้รับการสานต่อมาถึงปัจจุบัน เพลิงโอลิมปิกของ เบอร์ลิน เกมส์ ปี 1936 ถูกจุดด้วยกระจกทรงพาราโบลาที่สะท้อนแสงอาทิตย์โดยสตรีพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับถึงความบริสุทธิ์ของเปลวไฟ และมี บารอน ปิแอร์ เดอ กูร์แบร์กแตง ผู้ก่อตั้งโอลิมปิกสมัยใหม่เป็นสักขีพยาน รวมทั้งอวยพรให้นักวิ่งคบเพลิงก่อนออกเดินทาง

 

 

สานต่อไปถึงโอลิมปิกฤดูหนาว

 

ในปี 1936 นั้น เพลิงโอลิมปิกยังได้ถูกจุดขึ้นในโอลิมปิกฤดูหนาวเป็นครั้งแรกเช่นกัน ในการแข่งขันที่ การ์มิช-พาร์เท่นเคียร์เช่น ประเทศเยอรมนี เดือนกุมภาพันธ์ แต่จุดไฟจากสถานที่แข่งขันไม่ใช่โอลิมเปีย เช่นเดียวกับโอลิมปิกฤดูหนาวที่ เซนต์ โมริตซ์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 1948

 

โอลิมปิกฤดูหนาว 3 ครั้งต่อมา ก็ยังคงใช้สถานที่จุดไฟต่างกัน โดยในปี 1952 และ 1960 มีขึ้นที่ มอร์เกดัล ประเทศนอร์เวย์ แหล่งกำเนิดสกีสลาลอม และสกีจั๊มปิ้ง ส่วนในปี 1958 ที่คอร์ติน่า ดัมเปซโซ่ ประเทศอิตาลี ถูกจุดขึ้นในกรุงโรม ณ วิหารแห่งจูปิเตอร์ (ชื่อในปกรณัมโรมันของซูส)

 

จนมาถึงโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมือง อินน์สบรูค ประเทศออสเตรีย ในปี 1964 จึงเปลี่ยนมาใช้เมืองโอลิมเปียเป็นสถานที่จุดเพลิงโอลิมปิกแห่งเดียวทั้งโอลิมปิกฤดูร้อน และโอลิมปิกฤดูหนาวมาจนถึงปัจจุบัน


stadium

author

ณัฐกร ทองนพเก้า

StadiumTH Content Creator

stadium olympic