4 มิถุนายน 2563
นับตั้งแต่ โค้ช เช ยอง ซอก เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการเทควันโดไทยให้ไปอยู่ในระดับแถวหน้าของโลก ได้สร้างให้จอมเตะไทยเป็นแชมป์โลกมาแล้วถึง 5 คน ซึ่งคนที่เราจะพูดถึงกันวันนี้ก็คือ “นก” พรรณนภา หาญสุจินต์ จอมเตะสาวไทย แชมป์โลกคนสุดท้ายในปี 2019
พรรณนภา นั้นถือเป็นอีกจอมเตะสาวมากความสามารถ ได้แชมป์มาหมดแล้วในทุกระดับ ซีเกมส์ เอเชีย แชมป์โลก โอลิมปิกเกมส์ก็เคยผ่านมาแล้ว แถมยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่กลับหาอ่านจากที่ไหนไม่ค่อยได้ ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปสัมผัสเรื่องราวชีวิตของเธอว่ากว่าจะก้าวไปถึงแชมป์โลกได้เธอต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง
เส้นทางสู่เทควันโด
ในปี 2005 แม้ว่ากระแสกีฬาเทควันโดไทยจะฟีเวอร์มาก ๆ ในบ้านเรา เยาวชนส่วนใหญ่ที่เริ่มเล่นเทควันโดต่างก็หวังเดินตามรอย “วิว” เยาวภา เจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2004 แต่ทว่ากลับมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เริ่มต้นเล่นกีฬาชนิดนี้ด้วยวิถีที่แตกต่างกันออก
สำหรับ “นก” พรรณนภา เธอหลงเสน่ห์ในชุดเทควันโดที่โรงเรียนมากกว่า เห็นแล้วอยากใส่ จึงกลับบ้านไปขออนุญาติครอบครัวมาเล่นกีฬาชนิดนี้ ก่อนจะได้รับไฟเขียวจากคุณแม่ ด้วยความเป็นเด็กทำให้เธอเล่นกีฬาชนิดนี้แบบไม่คิดอะไร ไม่ได้จริงจัง โฟกัสอยู่กับความสุขและความภูมิใจที่ได้สวมชุดแข่งในฝัน
“หนูเริ่มเล่นเทควันโดตอนประมาณ 8 ขวบ ช่วงนั้นที่โรงเรียนมีสอนพิเศษเทควันโดตอนเย็น มีอยู่วันนึงหนูไปนั่งดูเขาเล่นกันก็รู้สึกเฉย ๆ เพียงแต่ว่าสิ่งที่สะดุดตาหนูตอนนั้นก็คือชุดเทควันโด คือหนูเห็นแล้วรู้สึกมันเท่มากอยากใส่ (หัวเราะ) นั่นแหละจุดเริ่มต้นของหนู ไม่ได้มีไอดอลไม่ได้เล่นตามใครเลย แค่อยากใส่ชุดเท่ๆ ก็เท่านั้น”
หลังจากนั้น พรรณนภา ใช้เวลาอยู่กับเทควันโดเป็นประจำทุกวันหลังเรียน จนเริ่มรู้สึกชอบกีฬาชนิดนี้มากขึ้น จนมีโอกาสได้ขยับขยายตัวเองไปซ้อมกับยิมเทควันโดในรูปแบบที่จริงจังมากขึ้น ซึ่งเป็นการก้าวเดินที่เธอไม่เคยรู้เลยว่ามันจะพาเธอได้ไกลถึงแชมป์โลก
การเดินทางที่เหนือกว่าความฝัน
วันเวลาผ่านไปไม่นานนัก พรรณนภา มีโอกาสได้ย้ายไปซ้อมกับ ครูโต้ง ที่เทควันโดณัฐกรยิม ซึ่งเป็นยิมที่เธอซ้อมอยู่ด้วยจนถึงปัจจุบัน ที่แห่งนี้เธอได้เรียนรู้พื้นฐานและเทคนิคของการต่อสู้ในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเอาดีในเส้นทางนี้
“ตอนนั้นหนูเห็นพี่สอง (บุตรี เผือดผ่อง เหรียญทองแดงโอลิมปิก 2008) ลงแข่งที่โอลิมปิกในทีวี แล้วรู้สึกว่าพี่เขาเท่มาก ได้แข่งรายการใหญ่ได้ออกทีวี หนูเลยเริ่มมีความว่าอยากจริงจังทางนี้ด้วย อยากเป็นแบบพี่สอง หลังจากนั้นมาหนูก็เลยมีพี่สองเป็นไอดอล แต่จริงๆ ก็ชื่นชอบสไตล์ของพี่สองนะ มีความเร็ว เตะขาได้ไว ทุกวันนี้หนูยังพยายามเตะแบบนั้นให้ได้เลย”
จากเด็กที่เคยวิ่งเล่นสนุก ๆ เพราะได้สวมชุดเท่ ๆ ไม่มีอีกแล้ว นับจากนี้ไปมีแต่ความจริงจัง และด้วยฝีมือที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอเป็นเจ้าประจำที่คว้าแชมป์รายการในประเทศ ทั้งเยาวชนแห่งชาติ เยาวชนชิงแชมป์ประเทศไทย จึงได้โอกาสไปพิสูจน์ตัวเองในแคมป์ทีมชาติอย่างจริงจัง
แม้ว่าจะเก่งแค่ไหนในการคัดเลือกที่ผ่านมา แต่เมื่อมาอยู่แคมป์ทีมชาติแล้วคุณจะได้เจอคู่แข่งที่สมน้ำหน้าสมเนื้อมากขึ้น พรรณนภา ใช้ความพยายามอยู่นานปลายปี เข้าออกแคมป์ทีมชาติอยู่หลายครั้ง กว่าจะประสบความสำเร็จยึดตำแหน่งเป็นตัวแทนเยาวชนทีมชาติได้ในปี 2012 ซึ่งทัวร์นาเม้นท์แรกคือรายการเยาวชนชิงแชมป์โลก มาถึงบรรทัดนี้แล้วอย่าว่าแต่ผู้อ่านเลย แม้แต่ตัว พรรณนภา เองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมาได้ไกลถึงจุดนี้
ในศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก เธอตกรอบแรกอย่างเหนือความคาดหมาย แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเต็งแต่เธอก็รู้ตัวดีว่าควรทำได้ดีกว่านี้ และถ้าไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของตัวเองก็คงไม่ต้องร้องไห้เสียใจกับผลการแข่งขันที่ออกมา
“แมตช์แรกตื่นเต้นมาก (ลากเสียงยาว) ไม่รู้จักใครเลย ถึงตอนนั้นจะไม่ได้คิดอะไร แต่เจอบรรยากาศแล้วอดตื่นเต้นไม่ได้ คือมันเป็นครั้งแรกที่ได้ไปต่างประเทศแล้วเป็นรายการใหญ่ ผลสุดท้ายคือหนูแพ้ตกรอบแรก วันนั้นรู้สึกผิดหวังมากร้องไห้ทั้งวัน เพราะเราพลาดแพ้แค่แต้มเดียว”
“ยอมรับเลยว่าวันนั้นเตะไม่เป็นตัวเองโดนโค้ชว่า แล้วพอแข่งเสร็จตอนประชุมทีม โค้ชก็บอกว่าถ้าใครเล่นไม่ดี เขาจะไม่เรียกเก็บต่อ ในหนูตอนนั้นก็คิดแล้วว่าต้องมีเราแน่ ๆ แต่สุดท้ายพอกลับถึงไทย เขาก็ให้โอกาสเราเก็บตัวต่อ โค้ชบอกให้เราตั้งใจ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นมันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เราอยากพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น อยาดแสดงให้ทุกคนเห็นว่าหนูก็ตั้งใจเหมือนกัน อยากจะคว้าแชมป์มาให้ได้”
บทเรียนราคาแพง
ความผิดหวังในคราวนั้นถูกเปลี่ยนความมุ่งมั่นที่อยากจะประสบความสำเร็จ เธอจมอยู่กับการฝึกซ้อมอย่างหนักวันแล้ววันเล่า ในที่สุดก็คว้าแชมป์ได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้ ช่วงปี 2012 – 2013 พรรณนภา คว้าแชมป์ระดับนานาชาติได้มากขึ้น ทั้งเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย , โคเรีย โอเพ่น , เทรลเลบอร์ก โอเพ่น กระดูกเริ่มแรงพอพร้อมจะขึ้นสู่ทีมชาติชุดใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แต่ทว่าในปี 2014 ผลจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก บวกกับการที่เธอเริ่มคว้าแชมป์ได้แล้ว ทำให้ความมุ่งมั่นที่เคยมีเริ่มหายไป จนถึงขั้นปล่อยตัวเองให้คุมน้ำหนักไม่ได้จนต้องถูกต้องชื่อทิ้งออกจากทีมชาติ
“ตอนนั้นรู้สึกอยากออกจากทีมชาติ เพราะมันเหนื่อยมาก ช่วงนั้นก็ออกไปได้ 1-2 เดือนก็คุยกับแม่ แต่แม่ก็บอกว่าอยากให้เล่นต่อเลย ก็เลยลองดูอีกสักครั้ง ช่วงนั้นหนูก็กลับไปซ้อมที่ยิม แล้วก็เริ่มไต่อันดับใหม่ได้แชมป์ประเทศไทย ถูกเรียกมากคัดตัวทีมชาติซึ่งก็คว้าโอกาสไว้ได้อีกครั้ง”
“ยอมรับค่ะว่าตอนนั้นผิดไปแล้วจริง ๆ ที่ไม่คุมน้ำหนักเอง โค้ชให้หนูลด 2 กิโล แต่ตอนนั้นไม่อยากทำ ทำไม่ไหว เป็นความผิดของเราจริง ๆ ถ้าซ้อมมันก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว เป็นช่วงอารมณ์ที่แบบเหนื่อยมากอยากเลิกเล่นแล้ว แต่พอออกไปกลับรู้สึกว่ายังอยากเล่นต่อ อยากทำให้แม่ด้วย”
ปมในใจ
ในปี 2015 พรรณนภา ขยับขึ้นมาเล่นทีมชาติชุดใหญ่ ในศึกคัดโอลิมปิก 2016 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย เธอต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ทำลายความมั่นใจของตัวเองไปตลอดกาล ในรอบรองชนะเลิศรายการนั้นเธอต้องลงสนามพบกับนักกีฬาเจ้าภาพฟิลิปปินส์ บรรยากาศรอบสนามนั้นแน่นขนัด เสียงเชียร์ของเจ้าภาพดังพอที่จะข่มขวัญและทำลายสมาธิเธอ แม้ว่าสุดท้ายจะคว้าชัยชนะพร้อมโควตาโอลิมปิกมาได้ แต่มันก็ได้สร้างในใจให้กับ พรรณนภา ไปแล้ว
“หนูไม่เคยแข่งแล้วเจอกองเชียร์เยอะขนาดนั้นมาก่อน ตื่นเต้นมาก ยอมรับเลยว่าแข่งไม่เป็นตัวของตัวเอง เล่นไม่ดีเลยถึงจะเอาชนะมาได้ก็ตาม แมตช์นั้นมันเปลี่ยนหนูเป็นคนละคน กลัวเสียงเชียร์ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง จากที่ไม่เคยคิดอะไรในหัวเลยตอนแข่งกลายเป็นคิดอยู่ตลอด พอเราทำแต้มได้กลายเป็นว่าเราไม่กล้าบุกต่อ กลัวจะเสียแต้ม”
“มันหนักมากเลยค่ะ ถึงขั้นหนูต้องพาตัวเองไปหานักจิตวิทยาเลยนะ ช่วงแรก ๆ ก็ต้องนั่งสมาธิก่อนนอนตลอด นักจิตวิทยาเขาก็แนะนำให้เราอย่าไปคิดถึงมัน ให้เราให้อยู่กับปัจจุบัน”
แชมป์โลกที่ปลดล็อกความรู้สึกในใจ
ความกลัวใจจิตใจส่งผลให้นับตั้งแต่ปี 2015 เธอคว้าแชมป์เพิ่มได้รายการเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามในศึกชิงแชมป์โลก 2019 ที่ประเทศอังกฤษ นี่คือครั้งที่ 3 ในรายการใหญ่สุด โดย 2 ครั้งก่อนหน้านี้ไม่เคยประสบความสำเร็จใด ๆ บวกกับปมในใจทำให้หนนี้เธอยิ่งไม่กล้าคาดหวัง
พรรณนภา ลงแข่งไปทีละรอบโดยที่ในหัวไม่คิดอะไร ทุกอย่างถูกปล่อยวางราวกับเรื่องในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ลงเล่นได้แบบเป็นตัวของตัวเอง เก็บชัยชนะได้ทีละรอบจนมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด
“แมตช์ชิงแชมป์โลก หนูไม่ได้คิดอะไรเลย เตะผ่าน ๆ ไปทีละรอบ ตอนนั้นแบบไม่คิดอะไรเลย รู้ตัวอีกที่ก็ตกใจมาก เข้ามาได้ไง ยิ่งตอนกลางคืนตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ก็นอนดูคลิปคู่แข่งรอบชิงตลอด (ทาตินนา คูดาโชวา เต็ง 1 จากรัสเซีย) พอมาถึงช่วงเดินลงสนามมันจะไฟเปิดตัวอลังการมากมันยิ่งทำให้ตื่นเต้นเข้าไปอีก”
“รู้สึกดีใจมากที่สามารถปลดล็อกตัวเองได้สำเร็จ หลังจากก่อนหน้านี้ไปแข่งมักจะไม่มีเหรียญรางวัลเลย”
ด้าน โค้ชเช ยอง ซอก ยอมรับว่า พรรณนภา นั้นมีปัญหาเรื่องความมั่นใจ แข่งแล้วกังวลกลัวแพ้ การมาได้แชมป์โลกที่อังกฤษ ต้องชื่นชมในความตั้งใจ ทั้งฝึกซ้อมและแข่งขัน
การต่อสู้เพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัว
จากเด็กตัวเล็ก ๆ ที่แค่อยากสวมใส่ชุดเทควันโด ในวันที่เติบโตขึ้นเป้าหมายของเขาก็เปลี่ยนไป มันไม่ใช่การวิ่งเล่นแบบเด็ก ๆ เหมือนวันวาน แต่ในวันนี้มันเป็นการต่อสู้เพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง
“เทควันโดไม่ใช่กีฬาทีต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่สำหรับหนูมันคือการต่อสู้เพื่อครอบครัว”
“จากตอนแรกก็ไม่ได้คิดมาไกลถึงทีมชาติ พอเริ่มโตขึ้นเริ่มรู้สึกว่าอยากจริงจัง ถ้าติดทีมชาติก็จะมีเงินเดือน ไปแข่งมหกรรมได้เหรียญก็มีเงินรางวัล เอามาช่วยแบ่งเบาภาระแม่ได้ ยิ่งตอนนี้หนูอยู่กับแม่แค่ 2 คน แถมยังว่างงานด้วย ยิ่งทำให้หนูต้องต่อสู้เพื่อครอบครัวมากยิ่งขึ้น”
TAG ที่เกี่ยวข้อง