stadium

สุดาพร สีสอนดี ผู้เปิดประวัติศาสตร์มวยหญิงไทยในโอลิมปิก

4 กรกฎาคม 2567

“ลองดูมั้ย” วลีสั้น ๆ เป็นคำถามถึงลูกสาววัย 11 ปี จากชายหนุ่มวัยกลางคนเจ้าของค่ายมวย สุดยอดการช่าง ในอำเภอ ไชยวาน จังหวัด อุดรธานี เด็กหญิงในวันนั้นตกปากรับคำเชิญชวน และตัดสินใจลองชกมวยดู เนื่องจากเติบโต คลุกคลีกับกลิ่นเหงื่อ และเสียงต่อยกระสอบทรายในค่ายมวยมาตลอดตั้งแต่เล็ก ผ่านมา 20 ปี บนเส้นทางแห่งผืนผ้าใบ วันนี้ สุดาพร สีสอนดี ไม่ใช่เด็กหญิงนักมวยไทยตัวน้อยที่มีค่าตัว 500 บาทอีกแล้ว แต่เธอคือโค้ชมวยสากลสมัครเล่นหญิงทีมชาติไทย ที่มีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิกเกมส์ 2020

 

เด็กหญิงในค่ายมวยไทย

 

สุดาพร สีสอนดี ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ชีวิตของเธอไม่ได้ห่างไกลกับกีฬาชกมวย เพราะคุณพ่อเป็นเจ้าของค่ายมวยไทย “สุดยอดการช่าง” ทำให้กีฬามวยกับเธอไม่ใช่คนแปลกหน้า ชีวิตในวัยเด็กของแต้วมีเสียงกระโดดเชือก และเสียงต่อยกระสอบทรายเป็นนาฬิกาปลุกในยามเช้า มีเพื่อนเล่นเป็นเหล่านักมวยผู้ชาย แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เธอเข้าใกล้คำว่านักมวยเลยแม้แต่น้อย

 

จนกระทั่งวันหนึ่งโชคชะตาก็พาเธอเข้าสู่สังเวียนผืนผ้าใบ นักมวยหญิงจากต่างถิ่นมาหาคู่ชก และนั่นเป็นที่มาของวลี “ลองดูมั้ย” ซึ่งเธออยากช่วยเหลือแบ่งเบาภาระที่บ้านอยู่แล้วก็ไม่ปฏิเสธโอกาสนี้ แต่ก็ไม่ได้ง่ายเลยถึงจะเป็นลูกสาวเจ้าของค่ายมวย ขึ้นเวทีไปแล้วกำปั้นไม่มีรู แถมหน้าแข้งของคู่ต่อสู้ก็แข็งดังท่อนไม้ ความเจ็บปวดจาก 3-4 ไฟต์แรกในกีฬามวยไทย ทำให้เธอถึงขั้นถอดใจอยากเลิกชก

 

"ก้าวแรกที่ขึ้นไปบนเวทีเราสั่นไปทั้งตัว กลัวต่อยไม่โดน คนดูก็เยอะ แต่สุดท้ายเราเป็นฝ่ายชนะก็ดีใจนะ แต่พอลงจากเวทีเรารู้สึกเจ็บไปทั้งตัว แข้งเขาหนักมากตัวเรามีแต่รอยช้ำ ร้องบอกพ่อเลยว่าหนูเจ็บไม่เอาแล้วไม่อยากต่อยแล้ว พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะเหมือนเขารู้แหละ เพราะหลังจากนั้นเราเห็นเขาซ้อมมวยกันเราก็เข้าไปเล่นด้วยตลอด เพราะซ้อมมวยแบบเล่นสนุกไม่อยากซ้อมเพื่อเตรียมตัวไปแข่ง มันเหนื่อยมาก ความรู้สึกโคตรต่างกันเลย"

 

 

มวยไทย สู่ มวยสากลสมัครเล่น

 

ถ้าเปรียบเป็นการแข่งขันชกมวย การได้ย้ายโรงเรียนไปเรียนที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดขอนแก่น คงเป็นเหมือนระฆังหมดยกที่ช่วยเซฟชีวิตนักมวยของ สุดาพร สีสอนดี ที่มีความคิดอยากจะเลิกชกมวยแล้วในตอนนั้น และก็เป็นที่นี่แหละที่ทำให้เส้นทางการชกมวยของเธอหันเหไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ถึงเธอจะสอบติดในกีฬามวยไทยในตอนนั้น แต่โค้ชที่โรงเรียนก็แนะนำให้เธอเบนเข็มมาต่อยมวยสากลสมัครเล่นแทน เพราะน่าจะต่อยอดไปได้ไกลกว่าการเป็นนักมวยไทยผู้หญิงแน่นอน และความคิดของโค้ชที่โรงเรียนกีฬาจังหวัดขอนแก่นในวันนั้นก็ไม่ได้ผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะ สุดาพร สีสอนดี ในวันนี้คือหนึ่งในกำลังสำคัญของทัพมวยสากลสมัครเล่นหญิงไทย

 

"ช่วงนั้นแต้วกำลังจะขึ้น ม.3 มีรุ่นพี่แถวบ้านเขาสอบเข้าโรงเรียนกีฬาจังหวัดขอนแก่นด้วยโควตานักกีฬาตะกร้อ ซึ่งที่โรงเรียนก็มีเปิดคัดมวยไทย เขาก็แนะนำเราให้เราไปสอบมวยดูมั้ย เราก็ลองไปดู แต่พอไปถึงโค้ชแนะนำว่ามวยไทยมีคนมาคัดเยอะนะ ลองไปคัดมวยสากลสมัครเล่นดูไหม คนน้อยกว่าน่าจะเข้าง่ายกว่า เราก็ไปตามคำแนะนำทั้งๆที่ไม่มีพื้นฐานมวยสากลสมัครเล่นเลย มีคนมาคัด 32 คน แต่เอาแค่ 10 คน ปรากฎว่าเราคัดติดก็ได้เข้าฝึกมวยสากลสมัครเล่น แต่ระหว่างนั้นถ้ามีรายการชกมวยไทยแต้วก็ไปชกควบคู่กันไป"

 

 

ตัวสำรองที่ต้องอดทน

 

แต่หนทางของ สุดาพร สีสอนดี ก็ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น ถึงจะใช้เวลาไม่นานในการไปมีชื่อติดทีมชาติไทยมวยสากลสมัครเล่นในวัย 16 ปี แต่การมีรุ่นพี่มากฝีมืออย่าง ทัศมาลี ทองจันทร์ และเปี่ยมวิไล เล่าเปี่ยม เป็นกำแพงขวางหน้าอยู่ ทำให้สาวน้อยเด็กใหม่อย่างเธอทำได้เพียงแต่ซ้อมเท่านั้นในแคมป์ทีมชาติไทย และเป็นตัวสำรองอดทนตลอดเวลา 2 ปีหารายการแข่งขันลงแทบไม่ได้เลย ซึ่งเธอก็เกือบถอดใจเลิกชกสากลกลับไปชกมวยไทยแล้ว เพราะต้องหาเงินช่วยทางบ้านที่ฐานะก็ไม่ได้ดีมากนัก แต่จนแล้วจนรอดเธอก็มีชื่อติดไปแข่งซีเกมส์ครั้งที่ 26 ที่ประเทศ อินโดนีเซีย ในปี 2011 แล้วดาวรุ่งสาววัย 18 ปี ในเวลานั้นก็ไม่ทำให้ผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสต้องผิดหวังคว้าเหรียญทองซีเกมส์มาครองได้ทันที

 

"ตอนขึ้นเวทีไปชกไฟต์แรกในซีเกมส์ตื่นเต้นมาก มากกว่าตอนไฟท์แรกแบบคนละเรื่องเลย ผู้ชมเยอะมาก แต่เราก็ฝ่าฟันจนได้เหรียญทอง ณ ตอนนั้นคือดีใจและภูมิใจกับตัวเองมาก ๆ ที่อดทนผ่านมาได้ทุกเรื่อง"

 

 

2 รองแชมป์ในเวทีใหญ่

 

ปี 2018 เป็นทั้งปีทอง และเป็นปีที่ สุดาพร ต้องผิดหวัง รายการแรกเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศ อินโดนีเซีย เธอซึ่งเป็นหนึ่งในความหวังสูงสุดของสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ไล่อัดคู่แข่งจนเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ไปพบกับ โอ ยอน จี นักมวยสาวเกาหลีใต้ ซึ่งเธอก็พ่ายไปอย่างน่าเสียดายได้เพียงเหรียญเงิน ถึงมันจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดของทัพเสื้อกล้ามไทยปีนั้น แต่เธอก็ยอมรับว่านี่เป็นรายการที่ผิดหวังที่สุดในชีวิตของเธอ

 

“ถ้าเราไม่สู้ ก็ไม่มีใครเลี้ยงเราแล้วนะ” คำพูดของคุณพ่อที่เธอใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทุกครั้งยามที่ท้อบวกกับคำปลุกใจของโค้ชที่บอกว่าเธอสู้ได้ในระดับโลก ทำให้ในเวทีศึกชิงแชมป์โลกมวยสากลสมัครเล่นปี 2018 ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เป็นรายการที่ สุดาพร สีสอนดี ชกได้ดีสุดในชีวิต รอบ 8 คนสุดท้ายเธอล้มเต็ง 1 นักมวยสาวจากประเทศฟินแลนด์ เจ้าของเหรียญทองแดงที่ ริโอ เกมส์ 2016 อย่าง มิร่า พ็อตโคเน่น ก่อนที่ในรอบรองชนะเลิศจะล้างแค้นคู่ปรับเก่าที่เป็นเจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์ 2018 อย่าง โอ ยอน จี ได้ ถึงแม้ในรอบชิงชนะเลิศเธอจะพ่าย เคลลี่ แฮริงตัน จากไอร์แลนด์ แต่เหรียญเงินในศึกชิงแชมป์โลกก็เป็นรายการที่เธอภูมิใจที่สุด แถมมันยังเป็นเหรียญเดียวที่ทัพเสื้อกล้ามสาวไทยทำได้ในปีนั้นอีกด้วย

 

 

ความสำเร็จที่มอบให้คนบนฟ้า

 

“หนูเป็นมวยจังหวะฝีมือ รอจังหวะสอง” คำตอบของสุดาพร สีสอนดี เมื่อถูกถามถึงสไตล์การชกของเธอ ไม่ต่างกับชีวิตจริงในเส้นทางบนผืนผ้าใบของเธอ หลังจากเป็นรองแชมป์รายการใหญ่มาแล้ว 2 รายการ เหมือนที่ฝรั่งชอบพูดว่า Third time lucky ครั้งที่ 3 ของเธอในรายการใหญ่ที่สุดในชีวิตที่เป็นเสมือนความฝันสูงสุดของเธอเสมอมา นั่นคือโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่โตเกียว ประเทศ ญี่ปุ่น

 

ด้วยการฝึกซ้อมอย่างหนัก และความพยายามทุ่มเทมาตลอดเกือบ 20 ปี สุดาพร เก็บชัยชนะในรอบ 32 คน และ 16 คน ทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศที่กรุงโตเกียว ไปเจอกับ แคโรลีน ดูบัวส์ จากสหราชอาณาจักร หากเอาชนะได้เธอจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักมวยหญิงคนแรกของไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิกทันที เกมการชกเป็นไปอย่างสูสีก่อนที่สุดท้ายกรรมการจะชูมือให้แต้วเฉือนชนะไป 3-2 เสียง การันตีเหรียญทองแดง เขียนตำนานบทใหม่ให้กำปั้นไทยได้สำเร็จ

 

แม้ในรอบรองชนะเลิศ สุดาพร จะแพ้ เคลลี่ แฮร์ริงตัน จาก ไอร์แลนด์ พลาดเข้ารอบชิงอย่างน่าเสียดาย แต่เธอก็ได้สู้อย่างสุดความสามารถ และเหรียญทองแดงโอลิมปิกก็ไม่ใช่ความสำเร็จที่ทำได้ง่าย ๆ ซึ่งหลังจบไฟต์ สุดาพร เปิดเผยความรู้สึกด้วยความตื้นตันพร้อมกล่าวถึงคนที่ผลักดันเธอบนเส้นทางนี้มาตลอดชีวิตว่า เธอดีใจที่คว้าเหรียญได้สำเร็จ และหากพ่อที่ล่วงลับไปแล้วรับรู้ได้ เธอก็อยากจะบอกว่าเธอทำได้แล้ว

 

หลังจากประสบความสำเร็จที่กรุงโตเกียว สุดาพร ยังคงขึ้นชกรับใช้ชาติต่อไป แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่สะบัก ทำให้ต้องแขวนนวมและเบนเข็มมาเป็นผู้ฝึกสอนส่งต่อประสบการณ์ของตัวเองให้กับน้อง ๆ นักชกทีมชาติไทย ควบคู่ไปกับการรับราชการสังกัดทหารเรือในยศเรือตรีหญิงที่เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายเพื่อความมั่นคงในชีวิตของเธอนั่นเอง


stadium

author

ฉลามหนุ่มไทยแลนด์

StadiumTH Content Creator

stadium olympic