stadium

อารีย์ณัฎฐา ชวตานนท์ : มีแต่คนไม่ยอมแพ้เท่านั้นจะได้สัมผัสกับโอลิมปิก

11 มิถุนายน 2564

ทุกคนต่างก็มีปัญหาที่เข้าทดสอบความเข้มแข็งหัวใจแต่ละคน แต่เมื่อคุณก้าวผ่านมันไปได้เหมือนได้อัพเลเวลตัวเองเป็นคนใหม่ที่เก่งและแกร่งกว่าเดิม แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้เราก้าวผ่านปัญหาและอุปสรรคไปได้ก็คือการไม่รู้จักยอมแพ้ อดทน และมีทัศนคติที่ดีซึ่งจะนำพาให้เราข้ามผ่านเรื่องแย่ ๆ เหล่านั้น 

 

“มิ้นต์” อารีย์ณัฎฐา ชวตานนท์ นักกีฬาขี่ม้าสาวทีมชาติไทย เป็นอีกหนึ่งคนที่เส้นชีวิตของเธอเป็นแบบนั้นชัดเจนที่สุดคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าเธอจะล้มลงกี่ครั้ง เธอก็จะลุกขึ้นยืนได้ด้วยตัวเองเสมอไป แม้ภายนอกจะดูเป็นสาวร่างบาง แต่เธอก็ผ่านด่านทดสอบต่าง ๆ เพราะมีทัศนคติที่ดีและหลักคิดที่เข้มแข็งกว่าที่เรามองเห็นจากภายนอก เหตุผลข้อนี้เองที่ทำให้ “มิ้นต์” อารีย์ณัฎฐา สามารถสร้างประวัติศาสตร์พาทีมขี่ม้าไทย ผ่านเกณฑ์ควอลิฟายได้เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปี

 

 

 

เริ่มต้น "ช้า" ไม่ได้แปลว่าจะไม่ "สำเร็จ"

 

มิ้นต์ เริ่มฝึกขี่ม้าครั้งแรกเมื่อปี 2007 ในวัย 15 ปี ถือเป็นช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับเด็กวัยรุ่นหลาย ๆ คน แต่สำหรับนักกีฬาอายุเท่านี้กับการเริ่มต้นเล่นกีฬาใหม่ ๆ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ช้ากว่าปกติ กว่าจะใช้เวลาในการฝึกฝนจนชำนาญก็ต้องกินเวลาหลายปี กว่าที่จะแกร่งพอไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์การแข่งขันในระดับนานาชาติ แต่สำหรับ มิ้นต์ เธอใช้เวลาเพียงแค่ 3-4 ปี ในการพัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นไปติดทีมชาติไทย และมีโอกาสได้เข้ารวมซีเกมส์ ครั้งแรก เมื่อปี 2011 ที่ประเทศอินโดนีเซีย 

 

“กว่าจะมาเป็นทีมชาติก็ซ้อมเยอะอยู่ค่ะ เพราะเรารู้ตัวเองดีว่าเริ่มต้นช้ากว่าคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียว ก็คือการฝึกซ้อมให้มากกว่าคน พยายามให้มากกว่าคนอื่น เท่าที่เราจะทำได้”

 

ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร คำนี้ยังคงปลุกใจใครหลาย ๆ คนยามทุกข์ใจได้เสมอ ซึ่งความพยายามของ มิ้นต์ ได้ทำให้ความเชื่อดังกล่าวมีน้ำหนักมากพอที่จะปลุกใจคนได้ไม่มากก็น้อย

 

 

 

5 ปี ชีวิตดั่งพายุถล่ม

 

ดูเหมือน มิ้นต์ จะเริ่มต้นได้สวยงามไม่เหมือนอย่างที่จั่วหัวไว้ แต่เชื่อเถอะว่าต่อจากนี้แหละ ชีวิตของเธอมีแต่ปัญหาถาโถมเข้ามาดั่งพายุไต้ฝุ่นคลั่งถล่มลงใจเมือง จนเราอาจบอกได้ว่ามันแย่ซะยิ่งกว่าละคร ต่อให้เป็นผู้ชายอกสามศอกก็อกแตกตายได้เหมือนกัน

 

“ช่วงคัดตัวนักกีฬาไปซีเกมส์ 2011 ตอนนั้นเรายังมือใหม่มาก ๆ อายุแค่ 18 เอง ไม่มีประสบการณ์เลย ได้แต่พยายามด้วยตัวเองทั้งหมด หมั่นศึกษากฎกติกาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง " มิ้นต์ เล่าย้อนความหลังถึงช่วงเวลาในการคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ขนาดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับนักกีฬาไทยมาก่อนเลยสักครั้ง

 

"ก่อนแข่งเราก็นำม้าไปปรึกษาแพทย์ว่าเราสามารถนวดผ่อนคลายให้ม้าได้ไหม เพราะเราไม่อยากให้ม้าเครียดจนเกินไป อยากให้เขาผ่อนคลาย ซึ่งหลังจากปรึกษาแพทย์แล้วเราก็เข้าใจว่าสามารถนวดได้ แต่กลายเป็นว่าพอมิ้นต์กำลังจะนวดให้ม้า มีคนเฝ้าคอกเห็นก็เดินมาบอกว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะ นวดไม่ได้ มันผิดกฎ"

 

"เขาก็เอาเรื่องไปรายงานให้ฝ่ายจัดการแข่งขันได้รับรู้ แล้วกรรมการก็มาแจกใบเหลืองให้เรา ซึ่งใบเหลืองสำหรับกีฬาขี่ม้ามันเป็นการเตือนที่รุนแรงมาก ตกใจมาก เพราะเราอาจโดนลงโทษห้ามแข่งขันได้เลย แต่ก็ไม่ได้โทษใครคิดว่าคงเป็นเพราะความอ่อนประสบการณ์ของเราเอง ทำให้เราจำไม่เคยลืม”

 

โชคยังดีที่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นแค่ใบเหลืองคาดโทษเท่านั้น ทำให้เธอลงแข่งขันต่อได้ ก่อนจะได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาทีมชาติไทย ทุกอย่างดูคลี่คลาย บทเรียนก็มีแล้ว เธอจึงจัดการวางเป้าหมายระยะยาวสำหรับการเป็นนักกีฬาขี่ม้า จากซีเกมส์ ตั้งใจจะขยับไปทีเอเชียนเกมส์ 2014 ต่อด้วย โอลิมปิกเกมส์ 2016

 

แต่แล้วในปี 2013 พายุก็เริ่มก่อตัวขึ้นมา ในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียปีเดียวกัน ได้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น การแข่งขันครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ มิ้นต์ ประสบความสำเร็จในเวทีระดับทวีป คว้า 1 เหรียญทอง 1 เหรียญเงิน แต่ต้องมาถูกริบเหรียญรางวัลคืน เพราะหลังจบการแข่งขันม้าคู่ใจของเธอ ถูกตรวจพบว่ามีฮอร์โมนสูงผิดปกติ ส่งผลให้เธอกลายเป็นผู้ร้ายของวงการทันที ถูกลงโทษห้ามเกี่ยวข้องกับการแข่งขันขี่ม้าทุกระดับเป็นเวลา 2 ปี นั่นหมายความว่าเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เกาหลีใต้ ที่เธอตั้งใจจะเข้าร่วมนั้นเป็นอันต้องพลาดไป

 

“มันเป็นความรู้สึกที่เสียใจที่สุด แต่ไม่ร้องไห้นะ ช่วงนั้นคือเราตัดขาดตัวเองจากขี่ม้าเลย ไม่ดูข่าว ไม่ดูแข่ง ไม่อยากรับรู้อะไรเลย เพราะถ้าได้เห็นแล้วเราจะอยากกลับไปขี่ม้า อยากกลับไปแข่ง อยากกลับไปซ้อม เราเลยเลือกที่จะปิดตัวเองออกจากวงการไปเลย” 

 

 

 

สำหรับคนที่รักการขี่ม้าถือเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจยอมรับได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอหมั่นดูแลเอาใจใส่ม้าของเธอเป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่ามาก่อนจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น แม้ว่าจะมีการจ้างทนายชื่อดังระดับโลกในวงการขี่ม้ามาต่อสู้คดีแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำตัดสินได้ ทำให้เธอได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิดหวังที่เกิดขึ้น

 

“เราเป็นคนที่อยากได้อะไรสักอย่างก็จะต้องทำให้เต็มที่เพื่อคว้าสิ่งนั้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยความพยายาม ความอดทน หรือการฝึกหนักแค่ไหน เราก็พร้อมที่จะทำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสอนให้เรารู้จักยอมรับในเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ คือเราไม่รู้ว่าจริง ๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่สิ่งที่เราทำได้ ณ เวลานั้นคือรอ รอวันที่จะได้กลับเข้าสู่สนามแข่งอีกครั้ง”

 

 

"ล้ม" ได้ต้อง "ลุก" เป็น

 

มิ้นต์ โดนพักการแข่งขันไป 2 ปี ในช่วงปลายปี 2013 – 2015 ไม่ใช่แค่เอเชียนเกมส์เท่านั้นที่เธอพลาด แต่ยังรวมไปถึงโอลิมปิกเกมส์ 2016 ก็ด้วย เพราะถึงเธอจะพ้นโทษแบนกลับมาก็ไม่สามารถควอลิฟายได้ทัน สิ่งที่ทำได้ช่วงนั้นคือปล่อยให้กาลเวลาเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ และเมื่อเธอพร้อมกลับมาสู้ต่ออีกครั้ง เธอเลือกจะใช้เวลา 2 ปีฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ความผิดหวังต่าง ๆ ถูกเปลี่ยนมาเป็นแรงผลักดันในมุ่งพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิมเป็นเท่าตัว 

 

หลังชดใช้โทษแบนครบกำหนด ต้องรอไปจนถึง ซีเกมส์ 2017 กว่าจะได้กลับมาลงแข่งในระดับนานาชาติอีกครั้ง 1 เหรียญเงิน เป็นความสำเร็จที่ไม่เลวเลยสำหรับคนที่ร้างเวทีไปหลายปี และมันสามารถเยียวยาบาดแผลของเธอได้ 1 ต่อปีมา เธอได้เข้าร่วมเอเชียนเกมส์ 2018 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ตามที่เคยฝันไว้ และสามารถช่วยทีมคว้า 2 เหรียญทองแดงกลับมาประเทศไทยได้จาก จากประเภทศิลปะการบังคับม้า และประเภททีมอีเว้นท์ติ้ง ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในรอบ 8 ปีของทีมขี่ม้ากับในเอเชียนเกมส์ 

 

กลับมาหนนี้ มิ้นต์ ได้โชว์ศักยภาพให้เห็นแล้วว่าเธอ 2 ปีที่หายไปไม่ได้นอนอยู่เฉย ๆ แต่เธอฝึกฝนตัวเองจนเติบโตขึ้นและพร้อมจะเป็นกำลังหลักทีมชุดปัจจุบัน

 

โอลิมปิก เวทีของคนไม่ยอมแพ้

 

หลังจากพ้นโทษแบนกลับมาลงแข่งขันได้ตามปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจ มิ้นต์ มาตลอดมันคือความกลัวที่จะผิดหวังซ้ำสองจากเรื่องไม่สามารถควบคุมได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตมันยังคงตามหลอกหลอน ราวกับว่าเป็นปมในใจไปเสียแล้ว ซี่งมันทำให้เธอไม่กล้าคิดกล้าฝันไปไกลถึงโอลิมปิกอีกครั้ง

 

หลังจบเอเชียนเกมส์ 2018 มิ้นต์ ได้รับการชักชวนให้มาเข้าร่วมกับทีมขี่ม้าอีเว้นท์ติ้ง เพื่อตระเวณแข่งขันควอลิฟายโอลิมปิก 2020 เธอตอบคำรับชวนนั้นทั้งที่ในยังคงเต็มไปด้วยความกลัวว่าจะผิดหวัง

 

“ตอนตั้งทีมเพื่อไปคัดโอลิมปิก บอกตรง ๆ ว่าตอนนั้นเราสับสนมาก เป้าหมายครั้งนี้มันใหญ่กว่าเดิมมาก ๆ แถมในใจเราก็กลัวว่าจะผิดหวังเหมือนตอนเอเชียนเกมส์ 2014 แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับคนในทีม ได้ลบความกลัวไปหมดเลย เพราะทุกคนอยากไปโอลิมปิก ทุกคนมีความฝันเหมือนกันกับเรา เราก็เลยตอบตกลงไป" 

 

"ตอนแรกก็คิดว่าแค่ไปช่วยเฉย ๆ เพราะไม่อยากผิดหวังอีก แต่เราก็พยายามปรับเปลี่ยนวิธีคิด มองไปทีละก้าว พยายามไม่ตั้งความหวังว่าต้องทำให้ได้หรือต้องไปให้ได้ เพราะถ้าเราดีพอ เราก็จะได้ไปโอลิมปิกเอง พยายามไม่คิดมาก”

 

เส้นทางการคัดเลือกโอลิมปิกของทีมขี่ม้าอีเว้นติ้งท์ไม่ง่าย มีปัญหาหลาย ๆ ทั้งงบประมาณในการเก็บตัวหรือส่งแข่งขัน ระหว่างทางต้องเดินทางดินกินกลางทราย ค่ำไหนนอนนั่น มีข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างแต่สุดท้าย เพราะทุกคนมีความฝันเดียวกัน และไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ร่วมกันฝ่าฟันอุปรรคต่าง ๆ มาได้ ผลสุดท้ายสร้างประวัติศาสตร์ได้เข้าร่วมโอลิมปิกเป็นครั้งแรก 

 

เชื่อมั่นในตัวเอง อย่ากลัวที่จะลงมือทำ

 

มาถึงตรงนี้ที่เธอทำความฝันเป็นจริงแลว ได้ไปโอลิมปิกเกมส์ ตามที่ฝัน แต่ชีวิตก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องร้าย ๆ อยู่ดี ระหว่างที่ซ้อมเพื่อเตรียมตัวควอลิฟายม้าตัวที่ 2 เธอประสบความอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจ็บหนักหัวเข่าข้างซ้ายแตกละเอียด ข้อเท้าขวาก็เจ็บหนัก ต้องใช้เวลารักษาตัวนานเกือบปี โชคดีสำหรับเธอที่โอลิมปิก 2020 เลื่อนการแข่งขันออกไป 1 ปี ทำให้มีเวลาพักฟื้นและฟิตร่างกายกลับมาได้ทัน 

 

“ถามมาว่ามันเหนื่อยมันท้อไหม มันมีอยู่แล้วค่ะ แต่ละเรื่องที่เจอมาตลอด 10 ปี หนัก ๆ ทั้งนั้น เหมือนชีวิตเราไม่มีวันไหนได้พักเลย เหนื่อยทุกวัน พอชีวิตเริ่มจะดีขึ้นอย่างตอนเริ่มติดทีมชาติใหม่ก็โดนโทษแบน พอได้ไปโอลิมปิกเกมส์ ก็มาโดนรถชนอีก ทั้ง ๆ ที่กว่าเราจะได้ไปโอลิมปิก ต้องผ่านชีวิตกันมาแบบเลือดตาแทบกระเด็นกันทุกคน" 

 

"แต่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเรา ทุกครั้งเราจะไม่โทษใครก่อน แต่จะเก็บเอามาเรียนรู้เป็นประสบการณ์และทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

 

"เรามองเป็นบททดสอบชีวิตมากกว่า ทุกคนต่างก็เจอปัญหาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป เพียงแต่สิ่งที่เราเจอมันอาจจะหนักกว่าหลาย ๆ คน ซึ่งมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้และโตขึ้นมาก ”  

 

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญก็คือตัวเอง ความคิดตัวเอง ถ้าเรากลัว เราท้อหรือคิดแต่แง่ลบ โทษตัวเอง มันก็จะบั่นทอนจิตใจ สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น" 

 

"แต่ถ้าเราเอาชนะความกลัวเหล่านั้นได้ เอาชนะความคิดตัวเองได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเราทำดีที่สุดแล้ว” นักขี่ม้าสาวทีมชาติไทย กล่าวทิ้งท้าย

 


stadium

author

ปวีน เทพพวงทอง

StadiumTH Content Creator / เชียร์หงส์แดง รักการเดินป่า เสพติดหมูกระทะ

stadium olympic