1 มิถุนายน 2564
“ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง” ผมนั่งเขียนบทความชิ้นนี้โดยเปิดเพลงความเชื่อของวงบอดี้แสลมฟังไปด้วย ฮุคเพลงข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ความฝันของคนเราเปรียบน้ำหล่องเลี้ยงที่ทำให้หัวใจเราชุ่มช่ำ การที่ชีวิตมีจุดหมายปลายทางให้ไขว่คว้าบ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตนั้นคุณค่าเพียงใด
และเป็นความจริงที่ว่าความฝันนั้นไม่ได้จำกัดแค่เด็กวัยรุ่น แต่เป็นของคนทุกเพศทุกวัย เช่นเดียวกับ "แซม" เศวต เศรษฐาภรณ์ นักกีฬายิงเป้าบินทีมชาติไทยวัย 5ุ6 ปี ที่มีท่าทางสุขุม ใจเย็น แต่ไม่เคยหยุดค้นหาตัวตนและความฝัน เขาตัดสินใจหาความท้าทายใหม่ในชีวิตตอนอายุ 41 ปี และทำความฝันเป็นจริงในอีก 15 ปีต่อมา
จากนักบินสู่นักแม่นปืน
เศวต หรือ แซม เริ่มต้นเป็นนักกีฬายิงเป้าบินตอนอายุ 41 ปี ในวัยที่ใครหลายคนกำลังมองหาความมั่นคงให้ชีวิตแต่เข้ากลับเลือกหาควาท้าทายใหม่ให้กับตัวเอง ยุติการเป็นนักบินและเบนเข็มมาจับปืนเป็นนักกีฬายิงเป้าบิน ไม่เพียงแค่นั้นด้วยอายุที่เลข 4 นำหน้ายังเป็นการเริ่มต้นที่ถือว่าช้ามาก ๆ หากเทียบกับนักกีฬาทั่วไปที่เริ่มต้นตั้งแต่ 7-8 ขวบ
“การเป็นนักบินมันให้อิสระผมมาก ๆ นะ แตชีวิตผมมันก็เสี่ยงอันตรายในทุกวัน" เศวตร เริ่มเล่าจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 15 ปีก่อน
"ผมเคยมีเพื่อนเป็นนักบินแล้วเขาประสบอุบัติเหตุ ซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ครอบครัวเราไม่สบายใจ คุณแม่ผมท่านเป็นห่วง กลัวว่าวันนึงอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับเรา เขาก็ขอให้เราเลิกเป็นนักบิน ช่วงนั้นผมก็ลำบากใจมาก ๆ เพราะมันสิ่งที่เรารักและอยู่กับมันมาทั้งชีวิต”
แม้จะใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานแต่ท้ายที่สุด แซม ก็ทำตามคำขอของคุณแม่ แต่หลังจากเลิกเป็นนักบินได้ไม่นาน ชีวิตที่เว้นว่างในแต่ละวันจนเกิดเป็นคำถามขึ้นมาตลอดเวลาว่าจะทำอะไรเพื่อให้ชีวิตดูมีคุณค่าและท้าทายตัวเองอีกครั้ง จนกระทั่งมีคนแนะนำให้ลองมาเล่นกีฬายิงเป้าบิน
“เป้าบินมี 2 ประเภท คือแทร็บกับสกีต ที่ผมชอบคือแทร็บ ตอนเริ่มต้นมันยากมากนะ เพราะต้องใช้สมาธิ ร่างกาย ทักษะพื้นฐานต่าง ๆ แต่พอเราตัดสินใจแล้วว่าจะไปให้สุดกับเส้นทาง ก็เริ่มศึกษาทุกอย่างเริ่มจากพื้นฐาน หลังจากก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาตามลำดับ ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 ปี ก็ผ่านการคัดเลือกเป็นนักกีฬาทีมชาติ ”
ชีวิตต้องเดินตามหาความฝัน
หลังจากก้าวเข้าสู่รั้วทีมชาติครั้งแรกในวัย 42 ปี เขาก็มีโอกาสได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันในระดับนานาชาติเป็นประจำ แม้ประสบการณ์ชีวิตจะผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่านักกีฬาหลายคน แต่ประสบการณ์บนสนามแข่งเขานั้นเป็นรองทุกคน ซึ่งนี่ก็คือความท้าทายใหม่ที่ภูมิใจกับการตัดสินใจในวันนั้น
“การเป็นนักกีฬาทีมชาติมันทำใหผมภูมิใจ การที่เราไปแข่งในต่างประเทศทุกคนเห็นจะมองมาที่ธงชาติตรงหน้าออกก่อนเสมอ แมตช์แรกที่ไปแข่งยอมรับว่ารู้สึกว่าประหม่ามาก ทั้ง ๆ ที่เป็นแมตช์ไม่ใหญ่เหมือนเขาส่งเราไปเพื่อหาประสบการณ์ แต่ความรู้สึกแรกคือมันต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการฝึกซ้อมในประเทศ มันไม่เหมือนกับการคัดตัวในประเทศ ซึ่งเราต้องเจอคู่แข่งต่างชาติในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย แม้จะล้มเหลวไม่ได้เหรียญรางวัลแต่มันทำให้เรารู้แล้วว่าการเป็นนักกีฬาทีมชาติมันรู้สึกอย่างไร”
นับตั้งแต่นั้นมาตลอดเวลา 15 ปี ชีวิตนักกีฬาของ แซม นั้นเจอแต่ความผิดหวังมาตลอด ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่เท้าของเขาได้สัมผัสกับการยืนบนโพเดี้ยม คอของเขาไม่เคยมีเหรียญรางวัลมาคล้อง จนใครหลายคนนั้นมองว่าเขาล้มเหลวทำไมไม่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน แต่ในทางกลับกัน แซม ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่แพ้เขาจะเก็บข้อผิดพลาดของตัวเองมาปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน
“15 ปี ผมล้มลุกคลุกคลานมาตลอดครับ แต่ว่าหลังจากออกไปแข่ง ซีเกมส์ เอเชียนเกมส์และเวิลด์คัพ มันทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น ยิ่งแข่งเราก็ยิ่งรู้ว่าจุดด้อยของเราคืออะไร เราก็พยายามเรียนรู้จากนักกีฬาเก่งๆและพัฒนาตัวเองมาตลอด"
“ผมมีเพื่อนเป็นนักกีฬายิงปืนดกรีแชมป์อยู่ทุกมุมโลก หลายคนเป็นนักยิงปืนมืออาชีพยิงแบบ full time แต่ผมไม่ใช่ ผมใช้เวลาฝึกซ้อมแค่ เสาร์ อาทิตย์ กับวันหยุด แต่เวลามาแข่งต่างประเทศแล้วได้เพื่อน แล้วผมเป็นนักกีฬายิงเป้าบินที่อายุมากที่สุดของทุกรายการที่ไปแข่ง ทุกคนก็ให้คำแนะนำเราตลอดเพราะเขาคิดว่าเราไม่ใช่คู่แข่งของเขา”
“ฉันท้อแท้สักกี่ทียังมีหวัง แม้พลาดพลั้งสักกี่ครั้งยังฝันไกล แม้ฉันล้มฉันก็คงไม่ตาย ฉันยังไม่ตายฉันยังคงหายใจ” เสียงร้องของพี่ตูนมาหยุดอยู่ตรงท่อนนี้ ฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นท่อนที่ตรงกับชีวิตของ แซม มากที่สุดแล้ว
พิชิตความฝันในวัย 56
ถึงจะแพ้จนเป็นเรื่องปกติ แต่เพราะความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองให้กับคนอื่นๆได้เห็น ในที่สุด แซม ก็ได้ลิ้มรสชาติของความประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก
ในศึกเวิลด์คัพ 2019 ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รายการควอลิฟายโอลิมปิกเกมส์ 2020 ม้ามืดคนเดิมที่ผิดหวังมาตลอด 15 ปี กลับยิงทำคะแนนเข้ามาเป็น 2 สร้างเซอร์ไพร์สแก่คนดูทั้งสนาม นี่คือครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นโพเดี้ยมรับเหรียญรางวัล แต่สำคัญกว่านั้นคือโควตาโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกในชีวิต และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกของโอลิมปิก 2020 นี้คือรางวัลตอบแทนของคนไม่ยอมแพ้และทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอ
“เวลาจะทำอะไรผมจะตั้งเป้าหมายไว้เสมอ ตั้งแต่เป็นนักบิน พอมาเป็นนักกีฬายิงเป้าบิน ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของผมก็คือการไปโอลิมปิก คือมันเป็นความหวังลึก ๆ ที่เราอยากจะทำให้ได้สักครั้งก่อนเลิกเล่นกีฬา นักกีฬาทุกคนบ่อมฝันถึงโอลิมปิกเกมส์กันสักครั้ง ในขณะที่คนอื่นเค้าอาจจะมองว่าเราไม่มีวันทำได้หรอก เพราะเราแก่มากแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยเก็บมาคิดมากเลยนะ”
“ตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกไปแข่งที่ประเทศมาเลเซียจนถึงวันนี้ เราก็พยายามเรียนรู้อยู่ตลอด ก่อนจะไปแข่งก็เตรียมตัวเองให้พร้อมที่สุดเสมอ เป็นมืออาชีพให้มากที่สุด มีการฝึกฝนที่ดี เอาใจใส่กับสุขภาพร่างกายและต้องตั้งเป้าหมายไว้ ผมเชื่อว่าเราตั้งใจจริง ๆ ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่สำเร็จ”
หลังจากได้ตั๋วโอลิมปิกมาแล้ว แซม รู้ดีว่าเขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยหลงระเริงไปกับชื่อเสียงแต่อย่างใด ในทางกลับกันยิ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาต้อทำงานให้หนักขึ้น โฟกัสกับการฝึกซ้อมและต่อยอดความสำเร็จให้มากที่สุด หลังจากได้ตั๋วโอลิมปิกเกมส์มาครองแล้ว เขาก็ยังประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง คว้า 1 เหรียญทอง 1 เหรียญทองแดงในซีเกมส์ 2019
“ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราออกไปแข่งแล้วจะชนะ เราต้องรู้จักเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโอลิมปิกหรือซีเกมส์ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรับผิดชอบที่เราต้องทำเพื่อประเทศของเรา เมื่อทำสำเร็จก็จะเกิดเป็นความภาคภูมิใจ และประสบความสำเร็จเราก็อย่าไปจมอยู่กับมันนานเกินไป เพราะความสำเร็จที่เกิดขึ้นพรุ่งนี้มันก็กลายเป็นเพียงอดีต เราต้องอยู่กับมันให้สั้นที่สุด แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับแมตช์ถัดไป"
"แต่ถ้าผิดหวังแข่งแล้วไม่ได้เหรียญ ก็อย่าไปต้องเสียใจมากเกินไป เก็บเป็นบทเรียน ศึกษาข้อผิดพลาดแล้วก็ฝึกฝนต่อไปและห้ามยอมแพ้เป็นอันขาด”
ที่สุดถ้ามันจะไม่คุ้ม แต่มันก็ดีที่อย่างน้อยได้จดจำว่าครั้งนึงเคยก้าวไป แค่คนที่เชื่อในความฝัน จะเหน็ดจะเหนื่อยก็ยังต้องเดินต่อไป" เสียงเพลงความเชื่อวนกลับมาที่ท่อนนี้อีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงไม่ยอมแพ้อย่างแท้จริง เพราะอันที่จริงแล้วต่อให้ความฝันของคนเราไม่เกิดขึ้นจริง แต่มันคงจะดีกว่าไม่ใช่หรือ ถ้าเราหากเรากล้าที่จะลงมือทำอย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งรู้สึกเสียดายทีหลัง
TAG ที่เกี่ยวข้อง