19 มีนาคม 2563
“เป็นเพราะทุกคนที่มีส่วนในการทำงานของผมตลอด 35 ปี ตั้งแต่เริ่มทำงานจอมบึงมาราธอน ทำให้ผมเป็นตัวแทนของนักวิ่ง 16 ล้านคนได้ไปทำหน้าที่แทนคนไทยทุกคน”
ณรงค์ เทียมเมฆ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อดีตครูบ้านนอกจากวิทยาลัยครูหมู่บ้านจอมบึง ผู้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ร่วมก่อตั้งจอมบึงมาราธอน 1 ในรายการที่นักวิ่งในเมืองไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี ชนิดที่มีคนบอกว่า “ใครไม่เคยวิ่งงานจอมบึง ไม่ใช่นักวิ่งที่แท้จริง”
จอมบึงมาราธอนไม่เพียงแต่เป็นรายการที่ได้รับความนิยม แต่ยังเป็นแรงบันดาลและจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้การจัดงานวิ่งในบ้านเราได้รับความนิยมอย่างมากประชาชนทุกเพศทุกวัยเริ่มหันมาให้ความสนใจในการรักสุขภาพ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ณรงค์ เป็นบุคคลสำคัญในเรื่องนี้ สิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นประโยชน์คนหมู่มาก ทำให้วันนี้ในวัย 74 ปี ท่านได้รับเลือกเป็น 1 ใน 2 ตัวแทนคนไทยได้ไปวิ่งคบเพลิงโอลิมปิกงานวิ่งอันทรงเกียรติที่ไม่ใช่ใครก็ไปวิ่งได้
จุดเริ่มต้นริเริ่มงานจอมบึงมาราธอน
สมัยก่อนจอมบึงเป็นเมืองสงบเงียบๆไม่มีสถานที่บันเทิง ผมและเพื่อนๆที่เป็นคณะครูอาจารย์ที่วิทยาลัยครูหมู่บ้านจอมบึงที่สนใจเล่นกีฬากัน ก็มีเตะฟุตบอล เทนนิส ขณะเดียวกันก็วิ่งออกกำลังกายไปด้วยพอมันรู้สึกสนุกมีความสุขก็เลยรวมตัวจัดงานวิ่ง 10 กิโลเมตรครั้งแรกในปี 2529 คือก็จัดกันสนุกๆไม่มีความรู้อะไร มีคนมาวิ่งไม่ถึง 100 คน ส่วนมากเป็นคนท้องถิ่นคิดว่าจัดแค่ครั้งเดียวพอไม่จัดแล้ว
แต่ปีต่อมามีอยู่คนหนึ่งอายุมากแล้ว แกเขียนจดหมายมาถึงผอ.วิทยาลัยครูหมู่บ้านจอมบึง ถามว่าปีนี้จะจัดงานวิ่งอีกไหมเพราะปีที่แล้วเขาประทับใจมาก ผอ.เลยส่งจดมาหมายฉบับนั้นมาให้ผม ก็เลยเปลี่ยนใจจัดจัดงานวิ่งต่อ ซึ่งปีถัดมามีคนเยอะขึ้น 300 คน ปีที่ 3 เริ่มมี ฮาร์ฟมาราธอน หลังจากนั้นก็จัดมาเรื่อยๆจนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุครบ 6 รอบ 72 พรรษา ก็เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่พระองค์ท่าน ก็เลยจัดเป็นงานวิ่งมาราธอน ตอนนั้นปี 2542 มีคนมาร่วมงานเยอะมากประมาณ 3,000 คน
สมัยนั้นถือว่าเยอะมาก เยอะเป็นลำดับต้นๆ ใกล้เคียงกรุงเทพมาราธอนเลย จากนั้นก็จัดเป็นมาราธอนมาตลอดคนเพิ่มขึ้นทุกปี จนกระทั่งล่าสุดมีคนเข้าร่วม 17,000 คนถือว่าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายสำหรับชุมชนเล็กๆในชนบท ที่ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยว ไม่มีทะเล ไม่มีโรงแรม
เสน่ห์ของจอมบึงมาราธอนที่ดึงดูดให้คนมารวมวิ่งเป็นจำนวนมาก?
จอมบึงเป็นมาราธอนที่ใช้รูปแบบเน้นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน กำนัน พระ เด็กวัด ครู เด็กนักเรียน คือทุกคนพอรู้ว่าเส้นทางวิ่งจะผ่านโรงเรียนไหน วัดไหน ชุมชนไหน จะออกมามีส่วนร่วมกันหมด ให้ความร่วมมือกันทุกอย่างทั้งปรับปรุงเส้นทาง ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตทำให้ภาพของจอมบึงมาราธอนเมื่อก่อนตอนเริ่มต้นดูเป็นภาพที่หายาก ทุกคนมีน้ำใจไมตรี ยินดีต้อนรับนักวิ่งที่มาเยือน ซึ่งผมว่าตรงนี้มันเป็นเสน่ห์ของเรา
แต่ทุกวันนี้งานวิ่งเกือบทุกที่ก็ได้ใช้รูปแบบเดียวกัน อาจเป็นเพราะกระแสการวิ่งมันบูมขึ้นแล้วจอมบึงซึ่งเป็นยุคบุกเบิกก็ทำได้น่าประทับใจ โดยในปี 2544 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ก่อตั้งขึ้น แล้วเขาเห็นที่เราจัดงานวิ่งในรูปแบบการส่งเสริมสุขภาพ ด้วยงบที่จำกัดแต่เราสามารถจัดงานได้อย่างต่อเนื่องยาวนานและยังส่งเสริมคนในท้องถิ่นก็ตื่นตัววิ่งกันมากขึ้น สสส. เลยชวนผมไปขยายผลงานวิ่งทั่วไปภูมิใจจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งถูกนำไปขยายผล
การจัดงานวิ่งที่ดีเป็นอย่างไร
งานวิ่งที่ดีในปัจจุบันจะไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมว่าทุกวันนี้มันต้องมาตรฐานใน 3 ด้าน 1.ความปลอดภัยทุกวันนี้งานวิ่งจัดขึ้นบนถนน เราต้องแบ่งการใช้ผิวฉลาจรจากบนรถยนต์ การออกแบบเส้นทางต้องคำนึงถึงปลอดภัย รวมถึงด้านการแพทย์ที่ต้องแสตนบายพร้อมคอยดูแลนักวิ่งที่ประสบอุบัติเหตุ ทั้งด้านร่าง ตรวจวัดชีพจร ความดันและน้ำดื่มควรมีนักวิ่งบริการตลอดเส้นทางไม่ขาด
ด้านที่ 2 คือความเที่ยงธรรม ยุติธรรม การตัดสินการแข่งที่ถูกต้อง รวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเรื่องนี้รวมไปถึงการกระจายข้อมูลให้นักวิ่งทุกคนได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวข้องกับเส้นทางวิ่งที่ชัดเจน การเดินทางเข้าที่พักการรายงานตัว ลงทะเบียนต้องมีความชัดเจน ชุมชนชาวบ้านก็ต้องรู้กำหนดการของงานที่ชัดเจน ทำให้คนในพื้นที่รู้อยากมีส่วนร่วม พร้อมให้ความร่วมมือ เช่นไม่เอารถออกมาวิ่งบนถนน ทำอย่างไรให้เขาเข้าใจและยอมรับ
สุดท้ายคืองานวิ่งต้องสนุกสนาม รื่นเริง เพราะนักวิ่ง 90 เปอร์เซ็น มาวิ่งเพื่อความสนุก พบปะเพื่อนบางคนมาเป็นทีมกับเพื่อนเก่าโรงเรียนเก่า สร้างมิตรภาพสร้างความสนุกให้กับสนามโดยการเพิ่มกองเชียร์ อาสาสมัคร แพทย์ ทีมเก็บขยะ เพซเซอร์ ใส่เสื้อที่มีสัญลักษณ์พิเศษร่วมวิ่งไปด้วยกัน ถ้าเกิดเหตุอะไรคนเหล่านี้พร้อมช่วยเหลือซึ่งงานวิ่งยุคใหม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้
ทำไมมาราธอนแรกของอาจารย์ถึงเกิดขึ้นตอนอายุ 60?
คือผมเป็นคนจัดงานมาตลอดเลยไม่มีโอกาสได้ลงวิ่ง ต้องทำหน้าที่ดูแลนักวิ่ง พอเกษียณก็เลยรู้สึกว่าอยากฉลองให้กับตัวเองเลยวิ่ง 42.195 กิโลเมตรเลย ผมคิดว่าการวิ่งมาราธอนไม่มีช้ามีเร็วขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและโอกาสของแต่ละคนมากกว่า ผมยกตัวอย่างมีคุณปู่อยู่คนหนึ่ง ที่จอมบึงแกเริ่มวิ่งตอนอายุ 75 ปี และ 3-4 ปีหลังจากนั้นจึงเริ่มวิ่งฟูลมาราธอนครั้งแรกจนถึง 85 ปี วิ่งทุกปี แล้วค่อยลดลงระยะลงมา คืออายุไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ถ้าเราดูแลสุขภาพให้ดีออกกำลังกายได้
เจอปีศาจมาราธอนตามระยะต่างๆที่เขาลือกันบ้างไหม?
ผมว่าเรื่องนี้ถ้าคนซ้อมไม่ถึงคงได้เจอ เพราะระยะประมาณ 30-35 กิโล เป็นระยะที่ต่อให้คนซ้อมมาดี ก็มีโอกาสหมดแรง ตะคริวกินได้เช่นกัน คือมันมาจากหลายปัจจัยซ้อมไม่พอแล้วมาวิ่งยาว ขาดประสบการณ์ในการวิ่ง วิ่งเร็ววิ่งหนักไม่รู้จักถนอมแรง ผ่อนแรงเห็นคนแซงก็วิ่งตามเขา เห็นผู้หญิงตัวเล็กกว่าวิ่งเร็วเขาทำได้เราก็ไปเร่งตัวเอง พอถึงระยะ 35 แรงก็หมดไป เขาถึงเรียกกันว่ามาราธอนจะต้องเจอปีศาจ ส่วนผมเองก็เจอแต่ผมรู้ตัวเองก็เลยหยุด ผ่อนแรงให้แพทย์ช่วยบ้าง นวดเอาแรง กินน้ำบ้างคือเราแข่งกับตัวเองไม่ได้แข่งกับคนอื่น
วินาทีที่เข้าเส้นชัยมาราธอนความรู้สึกแรกมันเป็นยังไง
ดีใจครับ เพราะมันเป็นครั้งแรกตลอดเวลาเราหวั่นไหวกับมันเป็นเดือนๆ ไม่มั่นใจเลย เช้าวันวิ่งเราก็รู้สึกหวิวๆ และมาราธอนแรกคนตามเชียร์เราเยอะ มีเสียงเชียร์ตลอดเส้นทางเลย จริงๆแล้วผมอยากจะออกตั้งแต่กิโลเมตรที่ 33-35 แต่ที่เส้นชัยมีเจ้าหน้าที่คอยประกาศรายงานตลอดว่าเราวิ่งถึงไหนแล้ว ตลอดเส้นทางก็มีคนเชียร์ทำให้เราหยุดไม่ได้ จะวิ่งให้ถึง แต่ต้องเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจในการวิ่งไม่ต้องรีบร้อน
อาจารย์เป็น 1 ใน 2 ตัวแทนคนไทย ที่จะได้วิ่งโอลิมปิก รู้สึกอย่างไรบ้าง?
ตอนแรกก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้รับเลือกเพราะอีกคนหนึ่งคือคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ท่านไปในฐานะคณะกรรมการโอลิมปิกสากลและที่ผ่านๆมาเขาเลือกนักกีฬาโอลิมปิกคนดังๆ ส่วนผมเป็นภาคประชาชนเป็นแค่ครูบ้านนอก ก็รู้สึกภูมิใจมาก ๆ ครับ เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาง่ายๆ มีเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน ก็ซื้อการไปถือคบเพลิงโอลิมปิกไม่ได้ มันเป็นเกียรติมากเพราะคบเพลิงโอลิมปิกคือไฟศักดิ์สิทธิ์ของมวลกีฬามวลมนุษยชาติ ที่บอกว่าคนทั้งโลกมีความสามัคคีกัน สืบทอดมากอย่างยาวนานแม้กระทั่งการจุดไฟก็ต้องไปจุดที่กรีซซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น
อายุผมก็ผ่านอะไรมาเยอะ เข้าใจถึงธรรมชาติต่าง ๆ ก็เลยไม่ได้ดีใจจนเกินไป สิ่งที่ได้มาถ้าเป็นเรื่องที่เหมาะสมก็เป็นเกียรติกับตัวเรา ซึ่งเป็นเพราะทุกคนที่มีส่วนในการทำงานของผมตลอด 35 ปี ตั้งแต่เริ่มทำงานจอมบึงมาราธอน ทำให้ผมเป็นตัวแทนของนักวิ่ง 16 ล้านคน ได้ไปทำหน้าที่แทนคนไทยทุกคนตามกำหนดการผมจะออกเดินทางวันที่ 5 เมษายน วิ่งวันที่ 6 มันคงเป็นประสบการณ์การวิ่งระยะ 200 เมตรที่ภูมิใจที่สุดในชีวิต แค่ได้ถือคบเพลิงมันก็เป็นเกียรติแล้ว ผมไม่รู้ว่าแต่ละย่างก้าว ณ ตอนนั้นผมจะคิดอะไรอยู่ในหัวบ้าง แต่ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อให้ 200 เมตรที่ดูเหมือนง่าย แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกเราขณะนั้นเป็นอย่างไร
คำพูดที่บอก “ถ้าคุณอยากมีชีวิตใหม่ ก็จงวิ่งมาราธอน” จริงไหมครับ?
การที่ลุกขึ้นมาจากที่นอนขึ้นมาวิ่งก็ได้ชีวิตใหม่แล้ว มาราธอนเป็นการวิ่งขั้นแอดวานซ์ เพราะมันไม่ง่ายการจะจบมันได้ต้องมีวินัยสูง อดทน ตื่นแต่เช้าสละเวลาวิ่งเช้าบ้างเย็นบ้าง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่นอนดึก ไม่เที่ยว ไม่สูบบุหรี่ กินอาหารที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมจะเห็นได้ว่าการวิ่งมาราธอนเปลี่ยนชีวิต ทำให้เรามีระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต ใจสู้ ไม่กลัวไม่ยอมแพ้ จะทำอะไรก็มีความความมุ่งมั่นตั้งใจอยู่ในกฎระเบียบ มุ่งความก้าวหน้ามากขึ้น
แล้วอาจารย์เตรียมตัวสำหรับมาราธอนอย่างไรบ้าง?
คือผมอายุมากมันนอนหลับไม่สนิท เราต้องพักผ่อนให้พอเพียง ซ้อมให้เหมาะสม โภชนนาการต้องพอดีไม่ขาดสารอาหารจะทำให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพ
วิ่งอย่างไรถึงจะได้ประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด
ก่อนอื่นเลยต้องตระหนักได้ว่า เรามาวิ่งเพื่ออะไร การมีสุขภาพที่ดีคือพื้นฐานที่สำคัญสุด เราก็เน้นวิ่งสุขภาพเพื่อวามสุข วิ่งไปกับเพื่อนที่มีจริตคล้ายๆกัน ไปงานวิ่งต่างจังหวัด ก็หาเวลาไปเที่ยวด้วยในตัว ส่วนบางคนโฟกัสเรื่องการทำเวลาก็ต้องปล่อยเขาเพราะนักวิ่งเหล่านี้เขาแข็งแรงอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือการมีสุขภาพดี ร่างกายจิตใจ สังคมดี มีปัญญาที่ดี การออกกำลังกายการวิ่ง ทำให้เกิดสมาธิ บางทีวิ่งไปก็คิดเรื่องงานออกได้ไอเดีย
วิ่งแล้วทำให้ผอมจริงไหม?
การวิ่งช่วยให้คุมน้ำหนักตัวได้ ไม่จำเป็นต้องผอม วิ่งแล้วทำให้เราแข็งแรง กล้ามเนื้อที่แข็งแรง ไขมันส่วนเกินน้อย เพราะเขาออกกำลังกายได้ดี แต่สิ่งสำคัญของการออกลังกายต้องออกให้ครบทุกส่วนอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายเราไม่ต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินมากเกินไป เพราะร่างกายไม่ได้แข็งแรงจาการวิ่งอย่างเดียว เพราะฉะนั้นการออกกำลังกายที่ดีต้องทำให้สมส่วน คอ บ่า ไหล่ ลำตัว ขา เข่า น่อง ข้อเท้า ฝ่าเท้า ต้องได้รับการดูแลได้รับการบริหารอย่างเท่าๆกัน
ทำไมเราถึงต้องออกมาวิ่ง?
การมีสุขภาพที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตเราประสบควาวมสำเร็จ สุขภาพที่ดีนั้นเป็นเรื่องหลัก เงินทองเป็นเรื่องรอง สำหรับคนเริ่มวิ่งต้องตระหนักว่าเราวิ่งเพื่ออะไรการวิ่งเพื่อสุขภาพของเรามันไม่ได้เกิดขึ้นในเสี้ยววาที มันต้องหมั่นขยันเพียร สะสมไปเรื่อยๆ วันละกิโล 2 กิโล 5 กิโล ทำให้เป็นนิสัย อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ถ้าเราตระหนักได้แบบนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี ขอให้สนุกกับการออกกำลังกาย ถ้าเราออกได้ดีแล้วสุขภาพดีขึ้น เราจะทำอะไรได้อย่างมีความสุข
TAG ที่เกี่ยวข้อง