stadium

เชลลี่-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ แก่ไม่กลัว แต่กลัวช้า

22 กรกฎาคม 2567

เหรียญทองโอลิมปิก จากวิ่ง 100 เมตร 2 สมัยซ้อน, แชมป์โลก 5 สมัยจากระยะเดียวกัน, เจ้าของ 8 เหรียญโอลิมปิก, 16 เหรียญจากชิงแชมป์โลก ซึ่ง 10 จากทั้งหมดคือเหรียญทอง รวมทั้งแชมป์จากประเภท 200 เมตร และ ผลัด 4x100 เมตร ชื่อของ เชลลี่-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ ย่อมเป็นหนึ่งในลมกรดสาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์

 

นอกจากความสำเร็จที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว สิ่งที่เหลือเชื่อยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังพักจากลู่วิ่งเพื่อไปทำหน้าที่แม่กว่า 2 ปี เธอกลับมาประกาศศักดาด้วยการคว้า 2 เหรียญทองในศึกชิงแชมป์โลกที่กรุงโดฮา เมื่อปีที่ 2019 และยังคงลงแข่งขันในระดับสูงพร้อมทั้งประสบความสำเร็จคว้าเหรียญต่าง ๆ ได้อีกมากมายมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งน่าสนใจเหลือเกินว่า เชลลี่-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ จะเพิ่มคอลเลกชันเหรียญโอลิมปิกไปประดับบารมีของเธอในปารีส 2024 หรือไม่

 

 

เส้นทางความสำเร็จ

 

เชลลี่-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ สร้างชื่อกระหึ่มตั้งแต่ลงแข่งโอลิมปิกสมัยแรกของตัวเองเมื่อปี 2008 เมื่อกลายเป็นนักกรีฑาหญิงจากทะเลแคริบเบียนคนแรกที่คว้าเหรียญทองวิ่ง 100 ม. ในโอลิมปิก และ 4 ปีต่อมาที่กรุงลอนดอน เธอคว้าแชมป์อีกสมัย กลายเป็นนักวิ่งหญิงคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ป้องกันแชมป์ 100 ม. ได้สำเร็จ

 

ถัดมาในปี 2016 เธอต้องเจอกับความยากลำบากหลังจากมีปัญหาที่นิ้วเท้าซึ่งส่งผลต่อการเตรียมตัว และฟอร์มการวิ่ง อย่างไรก็ตาม เชลลี่-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ ยังคงทำผลงานคว้าเหรียญทองแดงไปครอง ตามหลัง เอเลน ธอมป์สัน เอราห์ เพื่อนร่วมชาติ ก่อนที่จะฉายหนังซ้ำในโตเกียว 2020 แม้คราวนี้เธอได้เหรียญเงิน แต่ทำให้เธอกลายเป็นนักกรีฑาคนแรกที่คว้าเหรียญวิ่ง 100 ม.หญิง 4 สมัยติดต่อกัน

 

ส่วนผลงานในศึกชิงแชมป์โลกนั้น เหรียญว่าเธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี จากการคว้า 10 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน 1 เหรียญทองแดง จากหลายอีเวนต์ โดยเป็นแชมป์ 100 ม. 5 สมัยในปี 2009, 2013, 2015, 2019 และ2022 และกลายเป็นนักกรีฑาหญิงคนแรกที่ลงแข่ง 100 ม. และ 200 ม. ในศึกชิงแชมป์โลกหนเดียวกัน ก่อนที่เธอจะกวาดเหรียญทองไปทั้งหมด รวมถึงผลัด 4x100 ม. ในปี 2013 ขณะเดียวกันการคว้าแชมป์โลกในปี 2022 ด้วยวัย 35 ปี ยังทำให้เธอกลายเป็นนักกรีฑาอายุมากที่สุดที่คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ

 

 

มีเพียงฉันที่รู้ตอนจบ

 

ด้วยวัยที่ขึ้นเลข 37 ปี ความแข็งแรงและประสิทธิภาพย่อมลดน้อยถอยลง เธอเองก็หนีเรื่องนี้ไม่พ้นเช่นกัน โดยในปีนี้ ผลงานของเธอห่างไกลจากสถิติที่คว้าแชมป์โลกหนล่าสุด เวลาเร็วที่สุดของเธออยู่ที่ 10.91 ในการลงแข่งชิงแชมป์แห่งชาติรอบรองชนะเลิศ ซึ่งรอบชิงเธอได้เพียงเหรียญทองแดงไปครองเท่านั้น แต่ยังดีพอที่จะทำให้เธอติดทีมไปลุยโอลิมปิกสมัยที่ 5 ในชีวิต

 

"แม้จะพยายามหาเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่สุดท้ายแล้วฉันก็หวังแค่ตัวเองไม่มีอาการบาดเจ็บและลงแข่งได้ต่อไป เพราะมันจะไม่จบจนกว่ามันจะจบแล้วจริง ๆ"

 

"มันเป็นฤดูกาลที่ยากลำบาก แต่นักกีฬาทุกคนก็ต้องเจอเหมือนกัน เราแค่ต้องไปให้ถึงเส้นที่วางไว้ให้ได้ ซึ่งฉันยังรู้สึกดีกับผลงานของตัวเอง การได้ติดทีมอีกครั้งคือเรื่องที่ท้าทาย แต่ฉันก็ใช้ความมุ่งมั่นและความอดทนคว้ามันมาจนได้"

 

 

ขอปิดฉากให้สมเกียรติ

 

ในช่วงต้นปีนี้ ตำนานลมกรดสาวจาเมกาประกาศว่าเธอจะอำลาวงการหลังจบปารีส 2024 ซึ่งเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง

 

ดังนั้น โอลิมปิกปีนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การอำลาของหนึ่งในนักวิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล แต่ยังเป็นผู้ที่จะส่งแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปด้วย

 

"คุณสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ได้ ซึ่งมันเป็นสิ่งสำคัญที่จะแสดงมันออกมา คุณไม่สามารถเก็บมันไว้กับตัวเองได้หรอก" เธอให้สัมภาษณ์กับยูโรสปอร์ต

 

"มันไม่ใช่แค่การก้าวลงไปในลู่และคว้าเหรียญเท่านั้น แต่คุณต้องคิดถึงคนรุ่นต่อไปที่กำลังจะก้าวขึ้นมา ซึ่งเราต้องให้โอกาสพวกเขาฝันถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่"

 

ในจุดสตาร์ตของการแข่งครั้งสุดท้ายของเธอที่ปารีส คงไม่มีใครขุ่นเคืองหากเธอจะบอกว่าหวังแค่ได้ขึ้นโพเดียมเท่านั้น เพราะนับตั้งแต่ลงแข่งโอลิมปิกสมัยแรกในปักกิ่ง 2008 จนถึงปัจจุบัน มีนักกีฬาแค่ไม่กี่คนที่จะประสบความสำเร็จในชนิดกีฬาของตัวเองได้ยาวนานขนาดนี้

 

อย่างไรก็ตามหาก เชลลี่-แอนน์ เฟรเซอร์-ไพรซ์ เข้าเส้นชัยเป็นคนแรกย่อมเป็นการรูดม่านปิดฉากที่สมเกียรติของเธอเป็นที่สุด และจะเป็นหนึ่งในเทพนิยายอีกบทของหน้าประวัติศาสตร์กีฬาที่ทุกคนจะไม่มีวันลืม


stadium

author

ณัฐกร ทองนพเก้า

StadiumTH Content Creator

stadium olympic