25 ตุลาคม 2566
หากกล่าวถึงฟุตบอลแบบทัวร์นาเมนต์ ที่มีการแบ่งกลุ่ม แล้วแข่งขันแบบพบกันหมด เพื่อเก็บคะแนนหาทีมเข้ารอบ (Round Robin) ทุกๆคะแนนย่อมมีความสำคัญเสมอ โดยเฉพาะการแข่งขันที่มีการแข่งแบบ เหย้า-เยือน ความสำคัญของเกมเหย้าหรือเกมในบ้าน ย่อมมีสูงขึ้น เพราะหากเก็บคะแนนในบ้านได้ตามเป้าหมายที่วางไว้แล้ว ยังเป็นการตัดคะแนนคู่แข่งไม่ให้มีความได้เปรียบต่อทีมของตนเองมากขึ้นอีกด้วย และนั่นย่อมทำให้สามารถวางแผนต่อไปเพื่อไปสู่การเข้ารอบได้
ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ก็มีการใช้รูปแบบการแข่งขันแบบ Round Robin ซึ่งเกมในบ้านถือเป็นเกมสุดสำคัญ โดยเฉพาะการพบกับทีมที่มีศักยภาพเหนือกว่า หากสามารถตัดคะแนนคู่แข่งจากเกมในบ้านของตัวเองได้แล้ว ก็อาจทำให้การแข่งขันภายในกลุ่มมีความสูสีมากขึ้น และทีมที่ทำผลงานในบ้านได้ดีก็มีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในช่วงท้าย แม้ว่าผลงานในเกมเยือนอาจจะไม่ดีเท่าผลงานในบ้านก็ตาม
วันนี้เราลองมาดูผลของ ทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2 ครั้งที่ผ่านมา ว่ามีผลงานในการลงเล่นเกมเหย้าเป็นอย่างไรบ้าง และแต่ละครั้งส่งผลดีแค่ไหนกับการเข้ารอบ ซึ่งในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2018 และ 2022 ของทีมชาติไทย เป็นตัวอย่างความแตกต่างที่เห็นได้ชัด ว่าผลงานในบ้านมีความสำคัญอย่างไรกับรูปแบบการแข่งขันอบบ Round Robin
🇹🇭 ไทย 1-0 เวียดนาม 🇻🇳
🇹🇭 ไทย 2-2 อิรัก 🇮🇶
🇹🇭 ไทย 4-2 ไชนีส ไทเป 🇹🇼
🇹🇭 ชนะ 2 เสมอ 1 เก็บได้ 7 คะแนน
✅ ผ่านเข้าสู่รอบสาม ในฐานะแชมป์กลุ่ม
จะเห็นได้ว่าการรักษาคะแนนในบ้านของทีมชาติไทยในครั้งนี้ทำได้อย่างยอดเยี่ยม กล่าวคือ เก็บได้ 7 จาก 9 คะแนนเต็ม สามารถเอาชนะทีมที่อยู่ในอันดับ FIFA Rangking ต่ำกว่าได้ในแบบที่ควรจะเป็นคือ ชนะ ไชนีส ไทเป ต่อด้วยการเอาชนะ เวียดนาม ที่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ยิ่งทำให้ความได้เปรียบของทีมชาติไทยในกลุ่มมีมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเก็บคะแนนจาก อิรัก ที่อยู่ในระดับที่เหนือกว่าได้จากการเสมอ และไม่พลาดท่าแพ้ให้กับใครเลย ส่งผลให้เมื่อจบการแข่งขันในรอบนี้ ทีมชาติไทย ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก รอบสาม ได้ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม
🇹🇭 ไทย 0-0 เวียดนาม 🇻🇳 (สนามกีฬาธรรมศาสตร์)
🇹🇭 ไทย 2-1 ยูเออี 🇦🇪 (สนามกีฬาธรรมศาสตร์)
🇹🇭 ไทย 2-2 อินโดนีเซีย 🇮🇩 (สนามอัล มัคตูม)
🇹🇭 ไทย 0-1 มาเลเซีย 🇲🇾 (สนามอัล มัคตูม)
🇹🇭 ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 1 เก็บได้ 5 คะแนน
❎ จบอันดับ 4 ของกลุ่ม
ครั้งล่าสุดกับศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก ที่ต้องบอกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติทั่วโลก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนทำให้ต้องมีการหยุดการแข่งขันไปกว่า 1 ปี จนในช่วงเลกสองของการแข่งขันต้องไปแข่งที่สนามกลาง โดยมี ยูเออี ทีมที่สถานการณ์ไม่สู้ดีนักในเลกแรก กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบในช่วงเลกสอง กับการได้ลงเล่นในสนามประเทศตัวเองทุกนัด
การเล่นในบ้าน 2 นัดแรกของทีมชาติไทย ที่สนามกีฬาธรรมศาสตร์ สามารถเก็บได้ 4 คะแนน จากการเสมอ เวียดนาม 0-0 และ ชัยชนะครั้งสำคัญจากทีมที่เหนือกว่าอย่าง ยูเออี 2-1 แม้ในเกมเยือน 2 นัดต่อมาจะทำผลงานได้ไม่ดีนักก็ตาม แต่ก็ต้องบอกว่า เกมในบ้าน 2 นัดแรก ทำให้ ไทย ยังอยู่ในเส้นทางที่มีโอกาสเข้ารอบไม่ต่างจาก เวียดนาม และ ยูเออี ในขณะนั้น
แต่แล้วเมื่อกลับมาแข่งขันอีกครั้งในปี 2021 หลังหยุดพักจากสถานการณ์โควิด-19 ทีมชาติไทยที่เหลือโปรแกรมในบ้าน 2 นัด ต้องลงเล่นที่ ยูเออี ทั้งหมด ทำให้ปราศจากความได้เปรียบจากเกมในบ้าน ทั้งเสียงเชียร์ ทั้งความคุ้นชินกับสภาพอากาศและสภาพสนาม รวมถึงการเก็บตัวก่อนเข้าสู่การแข่งขันที่แตกต่างไปจากช่วงเวลาปกติ ทำให้ผลงานในฐานะเจ้าบ้านออกมาน่าผิดหวัง เก็บได้เพียงคะแนนเดียว จากการเสมอ อินโดนีเซีย 2-2 และ แพ้ มาเลเซีย 0-1 สุดท้ายจบอันดับ 4 จาก 5 ทีม ตกรอบสองอย่างน่าผิดหวัง ทั้งที่ในเลกแรกที่เป็นช่วงเวลาปกติ เกมในบ้าน 2 นัดที่เหลือของทีมชาติไทย เป็นการเจอกับทีมที่ FIFA Rangking ต่ำกว่า และถูกมองว่าอาจจะสามารถเก็บได้ 6 คะแนนเต็ม
ฉะนั้นเกมในบ้านถือว่าเป็นเกมนัดสำคัญที่สุดเสมอ ทั้งความได้เปรียบในด้านสภาพแวดล้อม การเดินทาง การเก็บตัว และเสียงเชียร์ ทำให้ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ครั้งนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะกลับมาร่วมสร้างบรรยากาศที่คุ้นเคย บรรยากาศที่อบอุ่น บรรยากาศที่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ให้คืนสู่ราชมังคลากีฬาสถานอีกครั้ง ในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก รอบสอง ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เริ่มนัดแรก 16 พฤศจิกายน นี้
TAG ที่เกี่ยวข้อง