1 กุมภาพันธ์ 2567
ในฐานะกีฬาแห่งสถิติ นักวิ่งทุกคนย่อมรู้ดีว่า การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีเดียวมีความสำคัญต่อชัยชนะมากแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่มีสถิติเหนือกว่า บอส ธนัช วุฒิเทียร นักวิ่งหนุ่มเลือดใหม่วัย 18 ปีได้ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลานี้มาด้วยเช่นกันกลายเป็นเสี้ยววินาทีแห่งการตัดสินใจที่ถูกต้อง จนนำมาสู่ชัยชนะในบุรีรัมย์มาราธอน 2024 งานแข่งวิ่งถนนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
รักษาโรคลมชักด้วยการวิ่ง
นับตั้งแต่เริ่มจำความได้บอสเล่าว่าเค้าป่วยด้วยหลายโรค รวมถึงโรคลมชัก ต้องกินยาต่อเนื่องห้าปีเต็มตั้งแต่เด็ก “แม่เคยเล่าว่าผมเคยชักตั้ง 10 ครั้งตอนเด็ก ผมจำได้ว่าอยู่ดีๆ ก็ตัวร้อน แล้วก็ชักไปเลย ไม่รู้สึกตัว” บอสเล่าย้อนหลัง
เพราะโรคลมชักทำให้บอสต้องไปพบแพทย์เป็นประจำ ซึ่งในตอนนั้นแพทย์ประจำตัวให้คำแนะนำในการไปออกกำลังกายเพื่อให้อาการดีขึ้น “ตอนนั้นที่โรงเรียนสอยดาววิทยาจังหวัดจันทบุรี โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ มีงานวิ่งขึ้นเขาสอยดาว เพื่อส่งเสริมให้เด็กออกกำลังกายผมก็เลยไปร่วมด้วยครับ”
เขาสอยดาวถือเป็นหนึ่งในภูเขาที่จังหวัดจันทบุรีซึ่งสูงชันและระยะทางไกล ขึ้นลงยอดเขาใช้เวลา 12 กิโลเมตร บอสเล่าว่าตัวเค้าซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่งในตอนนั้น ร่วมในการวิ่งขึ้นเขาสอยดาว และกลายเป็นการวิ่งครั้งแรกในชีวิต “ผมไปร่วมก็วิ่งๆ เดินๆ ครับเขาสูงมาก ตอนนั้นทรมานมาก ผมไม่ได้ซ้อมเลย เพราะตั้งใจร่วมเฉยๆ จบมาได้ที่ 94 จากคน 1000 กว่าคน ผมก็รู้สึกเลยว่าผมก็ทำได้ ตอนที่วิ่งก็ไม่มีอาการชักรู้สึกสนุกด้วย ก็ทำให้ผมอยากวิ่งต่อไป"
พ่อของบอสเคยเป็นอดีตนักวิ่งระยะไกลและเป็นครูฝึกวิ่งสมัยสมัยเป็นทหารเรือ ทำให้พ่ออยากผลักดันให้ลูกชายเข้าสู่การวิ่ง หลังจากจบงานที่เขาสอยดาว พ่อจึงชวนบอสมาวิ่งเพื่อเป็นการออกกำลังกาย ”จากนั้นผมก็มาวิ่งกับพ่อครับ แล้วผ่านไปไม่กี่เดือนก็ไปลงแข่งถนนครั้งแรก ชื่องานเจ้าหลาวชิลล์ชิลล์ พ่อบอกวิ่งสบายๆ ห้ากิโล ได้ที่สอง ผมดีใจมากพ่อก็ดีใจ บรรยากาศงานก็สนุก ตอนนั้นพ่อบอกว่าถ้าอยากจริงจังให้ซ้อมต่อไป“
บอสมีโอกาสได้รู้จักกับ นาวาโทเกศศิลา เผด็จศึก ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพ่อ มาแนะนำและให้โปรแกรมในการวิ่ง พร้อมเริ่มออกแข่งงานวิ่งถนนปีละสองถึงสามงาน ในระยะ 5 กิโลเมตร “ตอนนั้นผมแข็งแรงขึ้นเลยครับ ไม่ป่วย แล้วก็ป่วยน้อยลง บอกได้เลยว่าหาย ไม่ได้กินยาเลย ตอนนั้นหมอบอกว่า ถ้าวิ่งได้ถึง 10 กิโลแล้ว ก็ไม่ต้องกินยาแล้ว อีกอย่างหนึ่งผมรู้สึกมีสมาธิมากขึ้น หลังจากมาวิ่งได้สองถึงสามปีก็หายขาดเลยครับ“
เริ่มซ้อมวิ่งกับโค้ชอดีตนักวิ่งทีมชาติ
2-3 ปี หลังหายจากอาการป่วย บอสลงแข่งวิ่งถนนและเริ่มชนะมากขึ้น บวกกับมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง ช่วงนั้นตรงกับช่วงโควิดระบาดในปี 2563 บอสไปฝึกกับโค้ชโด่ง ไพชยนต์ เจนช่าง สังกัดทีมส.ไพชยนต์ ที่จังหวัดจันทบุรี นานประมาณหนึ่งปีเศษ ถือเป็นตารางที่เหมือนนักวิ่งแบบเต็มตัวครั้งแรก ”ตอนนั้นมุ่งแข่ง 5000 เมตรในลู่ครับ ลำบากเพราะที่บ้านไม่มีสนาม 400 เมตร มีแต่สนามหญ้าและถนน ต้องนั่งรถไปที่อำเภอมะขาม ห่างจากบ้าน 60 กิโล พ่อขับรถพาไปเพราะอยากให้พัฒนา พ่อก็ซ้อมไปด้วยกัน หลังเลิกเรียนสัปดาห์ละสองวัน”
ช่วงนั้นโค้ชโด่งซึ่งเริ่มเห็นแววในตัวบอสได้ส่งต่อบอสให้ร่วมฝึกกับอดีตทีมทีมชาติไทยคือโค้ชเดี่ยว ปฏิการ เพชรศรีชา ตำนานนักวิ่งทีมชาติไทย “ ใช้โปรแกรมของโค้ชเดี่ยวได้สักพัก โค้ชเดี่ยวก็เห็นว่าผมพัฒนาได้ก็เลยส่งต่อให้กับโค้ชเชือน ศรีจุดานุ โค้ชทีมชาติไทยปัจจุบัน ไปฝึกเรื่องความเร็วหกเดือน ผมเปลี่ยนไปเลย ซ้อมหนักแต่ก็ผ่านไปได้ แล้วพัฒนาขึ้น ครบหกเดือนก็กลับมาอยู่กับโค้ชเดียวเหมือนเดิม“
เมื่อฝึกซ้อมต่อเนื่องได้ครบสองปี ในปี 2565 บอสตัดสินใจลงแข่งบุรีรัมย์มาราธอน ระยะ 10 กิโลเมตรเป็นครั้งแรก และทำสถิติใหม่ให้กับตัวเองได้ จบเป็นอันดับที่สองในรุ่น 13 ถึง 17 ปี นับเป็นงานใหญ่ที่สุดที่เคยร่วมมา ด้วยสถิติ 35.10 นาที และเมื่อกลับไปแข่งลู่อีกครั้งก็ทำสถิติที่ดีได้ตามไปด้วย
”จบจากบุรีรัมย์ก็ไปกีฬาเยาวชนครั้งแรกที่พัทลุง ปี 65 ผมตื่นเต้นมาก แต่ก็ดีใจเพราะสถิติดี แต่ไม่ติดเหรียญ ใจก็คิดว่าไม่เป็นไรและยังอยากซ้อมไปเรื่อยๆ ละตอนนั้นไปสู้กับคนที่โตกว่า ต่อมาผมก็แข่งถนนอีก กรุงเทพมาราธอน บางแสน ไปหาประสบการณ์ จะได้รู้ว่าต้องปรับแก้ตรงไหน“
บอสเล่าว่าการวิ่งสำหรับเขาเหมือนการบ้านที่ต้องทำทุกวัน แต่สนุกกว่า เพราะมีเพื่อน ซึ่งตัวเขารู้สึกอยากทำให้เต็มที่เสมอ และไม่เคยท้อกับการวิ่ง ปีถัดมาบอสลงสนามกีฬาเยาวชนอีกครั้งที่จังหวัดนครสวรรค์ และประสบความสำเร็จด้วยสองเหรียญทอง จาก 5000 เมตร และ 10,000 เมตร โดย 10,000 เมตร บอสเกือบทำลายสถิติเดิมของแฝด บิ๊ก ณัฐวุฒิ อินนุ่ม
“ผมดีใจมาก เป็นความสำเร็จครั้งแรกของผม ทำให้มีกำลังใจซ้อมมากขึ้น พ่อแม่ดีใจเพราะหวังว่าเราจะได้ พ่อเกือบร้องไห้เลยครับ โค้ชเดี่ยวเป็นห่วง แนะนำอย่างดี โค้ชคือเบื้องหลังความสำเร็จของผม อยากบอกโค้ชว่า ถ้าไม่มีโค้ชผมคงไม่มีวันนี้ ผมไม่เคยเหนื่อยเพราะโค้ชบอกผมว่า ถ้าไม่ฝืนจะไม่มีทางวิ่งดีได้ แล้วบอกให้ผมก้าวไปข้างหน้า กับพัฒนาต่อไป“
แชมป์คนไทยในบุรีรัมย์มาราธอน 10K
เริ่มปี 2567 มีการแข่งขันวิ่งสองรายการใหญ่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน นั่นคือกีฬานักเรียนที่จังหวัดกระบี่ และบุรีรัมย์มาราธอน 2024 ในตอนนั้นบอสก็ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างสองรายการนี้ สุดท้ายด้วยระยะเวลาการเดินทางไปจังหวัดกระบี่ที่ไกลกว่า ทำให้เขาตัดสินใจมาร่วมแข่งบุรีรัมย์มาราธอน
และแน่นอนว่าการแข่งขันระดับนานาชาตินี้จะเต็มไปด้วยนักกีฬาเก่งมากมาย ทั้งจากฝั่งเคนยา เอธิโอเปีย และนักกีฬาไทย และรวมถึงโค้ชเดี่ยวของบอส ก็ลงแข่งในรายการเดียวกันคือ 10 กิโลเมตร “ผมออกตัวที่บล็อกหนึ่ง ไม่ใช่บล็อกอีลีท ก็เสียเปรียบพี่ๆ แต่ผมตั้งใจอยู่แล้วว่าจะเปิดแรงตั้งแต่กิโลเมตรแรก โค้ชบอกผมว่าให้ตั้งเป้าหมายให้กล้าเปิด ต้องทำได้ ช่วง 3 กิโลเมตรแรก ผมจึงวิ่งเกาะไปกับโค้ช และนักวิ่งไทยรุ่นพี่ด็อกเตอร์นุ่ย ธนัช ยอดดำเนิน (หนึ่งในตัวเต็งของรายการ)”
ส่วนขาแรงจากเคนยาอีกสองคนที่ลงแข่งในระยะเดียวกันก็ออกตัวแรงมาก หลังจากผ่านกิโลเมตรที่ห้า บอสหลุดจากกลุ่มสองคือโค้ชเดี่ยวและด็อกเตอร์นุ่ย ”ผมก็เร่งขึ้นอีกครับจนเห็นไซมอน จากเคนยา ก็พยามก้าวให้เร็ว มองเห็นเขา 200 ถึง 300 เมตรข้างหน้า แล้วไปวิ่งทันตอนกิโลที่แปด ตอนนั้นผมเริ่มเหนื่อย แต่ก็เห็นว่าเค้าก็เริ่มเหนื่อยเหมือนกัน ผมเลยคิดในใจว่า ถ้าเราวัดกับเขา เราจะไหวไหม เลยลองอัด แล้ววัดใจตั้งแต่โลสุดท้าย วิ่งต่ำกว่าเพซสาม ซึ่งไม่เคยอัดเร็วขนาดนั้นมาก่อน จนแซงได้ที่กิโลที่เก้ากว่า“
วินาทีนั้น ผู้ชมในไลฟ์ที่ติดตามการถ่ายทอดสดพากันลุ้นด้วยใจระทึก ว่านักวิ่งไทยจะแซงนักวิ่งจากเคนยาได้หรือไม่ จังหวะนั้นบอสแซงไซมอนขึ้นมานำห่างระยะประมาณ 3 เมตร “ผมได้ยินเสียงเท้า แต่ผมรู้ว่าเค้าตามไม่ทัน ตอนนั้นผมรู้ตัวเลยว่าตัดสินใจถูกแล้วที่วัดใจ ทำถูกแล้ว เพราะสุดท้ายยอมเหนื่อยสุดๆ ดีกว่า จากที่สามผมเลยกลายเป็นที่สอง และเป็นที่หนึ่งของคนไทย ตอนเข้าเส้นชัยดีใจมาก เป็นครั้งแรกที่ผมแซงเคนยาระดับประเทศได้ เค้าแข็ง ส่วนผมเป็นเด็กใหม่ อ่อนประสบการณ์“
บุรีรัมย์มาราธอนครั้งนี้จึงได้จารึกชื่อบอส ในวัย 18 ย่าง 19 ปี ในฐานะแชมป์คนไทย และอันดับสองของการแข่งขัน 10 กิโล และบอสได้สร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองที่ 32.58 นาที “พ่อก็มาด้วยครับ พ่อวิ่งฮาล์ฟ พ่อพาขับรถมาจากจันทบุรี พ่อคือเบื้องหลังที่ดูแลผมทุกอย่าง ตอนนี้พ่ออายุ 63 ยังแข็งแรงมาก พ่อบอกให้ผมพัฒนาต่อไป และบอกว่า ผมยังไปได้ไกลอีก ส่วนโค้ชเดี่ยวก็ยินดีด้วย เค้าบอกว่าเค้าไม่เคยปั้นลูกศิษย์ได้ขนาดนี้ เป็นรางวัลใหญ่ที่เขายังไม่เคยได้ มันมีคุณค่าทางใจกับผมมาก เพราะกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมฝึกซ้อมมาเยอะ ทรมานมาเยอะ”
อนาคตบนเส้นทางการวิ่ง
ด้วยจังหวัดชีวิตและผลงานด้านการวิ่ง ทำให้บอสได้รับโอกาสเข้าเป็นนักกีฬาในโครงการของกองทัพเรือ มีรายได้จากการซ้อมเก็บตัว และกำลังได้เข้าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยกีฬาที่จังหวัดชลบุรี “ผมเคยไปวิ่งงานหนึ่งแล้วเจอพี่บิ๊ก ณัฐวุฒิ เค้าคือไอดอลของผมนะ ได้เจอครั้งแรก เค้านิสัยดีมาก พี่เค้าเป็นคนแนะนำให้ผมมาเรียนมหาวิทยาลัยการกีฬา ตอนนั้นเค้าบอกว่าจะได้มีเพื่อนซ้อม และตอนที่เจอกันที่บุรีรัมย์ เค้าก็เข้ามาดีใจกับผมด้วย”
ณ ตอนนี้บอสกำลังจะเปลี่ยนบทบาทตัวเองจากนักเรียนไปสู่การเป็นนักศึกษา ซึ่งเป้าหมายของเค้า คือการเป็นครูและโค้ช เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ เหมือนกับที่โค้ชเดี่ยวถ่ายทอด “ผมภูมิใจตัวเองนะที่ทำได้ขนาดนี้ ผมไม่เคยคิดว่าจะมาได้ถึงจุดนี้ ไม่เคยกล้าคิดด้วยซ้ำ มันคือผลสำเร็จที่ซ้อมมา ผมซ้อมทั้งเช้าและเย็น พักแค่สามมื้อต่อสัปดาห์ เฉลี่ยประมาณ 90 ถึง 100 กิโล อนาคตถ้ามีโอกาส ผมก็อยากติดทีมชาติ เป็นนักวิ่งทางไกลรับใช้ประเทศ และอยากทำสถิติให้ได้ต่ำกว่า 32 นาที“
หากกล่าวว่าการวิ่งจะเปลี่ยนชีวิตใครสักคน คำพูดนี้คงเหมาะสมกับ บอส ธนัชมากที่สุดจิตใจที่มุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ บวกกับพรสวรรค์ที่มีอยู่ และคำแนะนำที่ดี การสนับสนุนจากคนในครอบครัว นำพาเขามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และยังอยู่บนเส้นทางที่พัฒนาต่อไปได้ นี่คือหนึ่งในอนาคตของนักวิ่งทางไกลทีมชาติไทย ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
TAG ที่เกี่ยวข้อง