13 กุมภาพันธ์ 2563
#แบกเป้ดูบอลไทย by “เก้น นิติพงษ์”
การเดินทางครั้งใหม่ของชายที่ชื่อว่า "กวินทร์"
9,237 กิโลเมตร
5,739 ไมล์
4,987 ไมล์ทะเล
คือระยะทางที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ต้องเลือกที่จะจากบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อไปพิชิตฝันใน เบลเยี่ยม เมื่อราวๆ สองปีที่แล้ว
ในวันนั้น (10 มกราคม 2561) ผมเองได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าตัวอยู่ร่วมๆ 15 นาที กับปฐมบทของการเดินทาง แน่นอนว่านี่คือการเดินทางที่เต็มไปด้วยความกดดัน เพราะอย่างที่ทุกคนรู้กันว่า กวินทร์ คือผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในสายตาของคนไทย
มันไม่ใช่เป็นแค่การเดินทางของนายด่านรายนี้เพียงลำพัง หากแต่มันคือการแบกศักดิ์ศรี ความหวัง และความฝันของแฟนบอลไทยทั้งประเทศ รายกับว่าทุกๆ คนแบกกระเป๋าเดินทาง และขึ้นเครื่องไป เบลเยี่ยม ด้วยกัน
…ทุกอย่างดูเหมือนจะง่าย เพราะ ตอง มีทักษะการเป็นผู้รักษาประตูที่ดี มีความรู้เรื่องภาษา การสื่อสาร ประสบการณ์ การเอาตัวรอด แต่อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า เส้นทางชีวิตคนเรามักจะมีหลุมสักหลุมให้คุณได้เดินสะดุดโดยที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัวอยู่เสมอ
บางคนพอเดินสะดุด ก็อาจจะแค่เสียหลักเล็กน้อย ก่อนจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง เผลอๆ บางคนเร็วขึ้นด้วยซ้ำ
แต่บางคนไม่ใช่ การเดินสะดุดครั้งนั้น อาจจะทำให้เขาต้องล้ม และเสียเวลาพักใหญ่ๆ เพื่อดึงตัวเองให้กลับมายืนได้อีกครั้ง แล้วถึงจะค่อยเดินต่อ
โชคร้ายที่หลุมดังกล่าวได้ทำให้ชีวิตค้าแข้งของเจ้าตัวเปลี่ยนไป กวินทร์ ต้องประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บ เสียตำแหน่ง ซ้ำร้ายอาการบาดเจ็บนี้ยังกระทบทั้งการลงเล่นให้กับสโมสร และทีมชาติ
ตอง ไม่ใช่ผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติไทยในยุค นิชิโนะ… นี่คือความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับ
ถ้าเป็นคนอื่นๆ ผมไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถยอมรับกับความผิดหวัง หรือเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ได้ดีแค่ไหน
แต่นั่นคงไม่ใช่กับ ตอง แน่ๆ
ข้อดีของ ตอง คือ เจ้าตัวคือคนที่แน่วแน่กับเป้าหมาย มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก และไม่ได้ยึดติดกับหัวโขนอะไรทั้งนั้น
เพราะสุดท้าย ท้ายสุด ทุกอย่างล้วนเป็นของนอกกาย… ไม่มีสิ่งใดที่ค้ำฟ้าอยู่ตลอดกาล นี่คือสัจธรรมของมนุษย์
ฉะนั้น สิ่งเดียวที่เจ้าตัวยังคงมุ่งมั่นก็คือ ทำให้เต็มที่ในทุกๆ วินาทีบนผืนฟลอร์หญ้า สนามฝึกซ้อม โรงยิม และสนามแข่งขัน เพื่อเตรียมรับโอกาสที่อาจจะเข้ามาแบบที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว
หลายๆ คนเรียกร้องให้เจ้าตัวหวนกลับสู่ประเทศไทยอีกครั้ง แต่สุดท้าย โอกาสจาก เจลีก ลีกที่ดีที่สุดในเอเชียก็มาถึง และตอง ก็ไม่รีรอที่จะตัดสินใจไปเป็นส่วนหนึ่งของ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ที่มีนักเตะไทยอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ค้าแข้งอยู่
แม้ว่านี่จะเป็นสัญญายืมตัว แต่ผมเชื่อว่า ดีเอ็นเอความเป็นนักสู้ของ ตอง จะทำให้เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อยึดตำแหน่งมือหนึ่งของทีมให้ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ประสบการณ์ และบาดแผลจาก เบลเยี่ยม ได้กลายเป็นวัคซีนที่ทำให้ผู้รักษาประตูทีมชาติไทยรายนี้แข็งแกร่ง และพร้อมที่จะแลกหมัดกับทุกอุปสรรคที่ขวางอยู่ข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ...
ผมเชื่อว่าคงมีหลายๆ คนที่มองว่า การเดินทางไปค้าแข้งใน เบลเยี่ยม ของ กวินทร์ นั้นเปรียบได้กับ “ความล้มเหลว” … หากมองด้วยสายตามนุษย์ปุถุชน ก็คงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เพราะ ตอง ไม่สามารถสอดแทรก หรือยึดตำแหน่งมือหนึ่งของ โอเอช ลูเวิน ได้...
แต่ในปัจจัยที่หลายๆ คนนิยามว่า “ล้มเหลว” นั้น มันยังมีเรื่องของอาการบาดเจ็บหนัก ที่เป็นอุปสรรคคอยขัดขวางไม่ให้นายด่านรายนี้ปีนป่ายไปยังจุดที่ใฝ่ฝันเอาไว้
แต่นี่แหละครับคือชีวิตจริง ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จ หรือสมหวังในทุกอย่างๆ ผมกลับมองอีกมุมด้วยซ้ำว่า นี่คือบทเรียนชีวิตที่ต่อให้ ตอง สามารถย้อนเวลากลับไปได้ว่าจะมา หรือไม่มายุโรป ตอง ก็คงเลือกช้อยส์ “มา” อยู่ดี เพราะที่นี่ล้วนแต่เต็มไปด้วยประสบการณ์อันล้ำค่าชนิดที่เงินก็ไม่สามารถซื้อได้
มันคือกำไรชีวิตที่ทำให้เราได้กลับมาทบทวนกับตัวเองว่า เออหว่ะ… คนเราหากจะต้องพบกับความผิดหวังบ้าง เสียน้ำตาบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด เพราะสุดท้าย เราเองก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ในวันนี้ ตอง เองได้พบเห็น ได้สัมผัสกับ “ชีวิต” ที่แท้จริงแล้ว ผมมั่นใจมากๆ ว่า ตอง จะสามารถฝ่าฝันอุปสรรค และค้าแข้งในเจลีกได้อย่างไม่มีปัญหา
แค่อยากบอกให้เจ้าตัวได้รู้ว่า… ไม่ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานสักกี่หน นั่นคงไม่ใช่ประเด็นสำคัญมากไปกว่า คุณคือ “ความภูมิใจของคนไทย” และเรา “มั่นใจในตัวคุณ” เสมอ
สู้ๆ นะน้องตอง !!!
TAG ที่เกี่ยวข้อง