stadium

วรกิจ แดงชื่น เพราะกีฬาเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ชีวิตนี้มีคุณค่า

5 มกราคม 2566

พ่อค้าแข้งคือเป้าหมายชีวิตของ “นัท”วรกิจ แดงชื่น นักฟุตบอลที่มากด้วยพรสวรรค์ แต่โชคชะตาก็โหดร้ายเขากลายเป็นผู้พิการเมื่ออายุ 14 ปี

 

“นัท” เกิดที่สงขลา หรือเมืองในประวัติศาสตร์ในชื่อ สิงหนคร เรียนจบ ป.6 ก็ย้ายมาต่อมัธยมที่หลังสวน ชุมพร 

 

วิถีชีวิตก็เหมือนๆเด็กทั่วไป คือชอบเตะฟุตบอล โตขึ้นก็อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อยากติดทีมชาติ แต่แล้วความฝันก็ต้องมาพังทลายเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากจังหวะที่เข้าแย่งบอล ขาซ้ายมีอาการบวม เขียวช้ำ แพทย์สันนิฐานเบื้องต้นว่าเป็นผลมาจากกล้ามเนื้ออักเสบ 

 

 

สัปดาห์แรกดูแลตัวเองตามที่แพทย์แนะนำทุกอย่าง แต่อาการกลับแย่ลง จึงกลับไปหาแพทย์อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ผลเอ็กซ์เรย์พบมีเนื้องอกออกมาจากบริเวณแผลที่เกิดจากการปะทะ ซึ่งเจ้าเนื้อที่งอกออกมานี้ไปดันกระดูกขาจนหัก 

 

“คุณแม่พาผมมารักษาอาการต่อที่ศิริราช หมอแนะนำให้ตัดขา เพราะตรวจเจอเซลล์มะเร็งที่เนื้องอก ถ้าไม่จัดการอาจจะลามเข้ากระดูกทำให้เป็นมะเร็ง เคสผมเป็นหนึ่งในล้านครับ คุณแม่ก็มาพูดคุยกับผมเรื่องตัดขา ผมร้องให้อยู่ 2 วัน และก็ถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัด ผมหลับไป 18 ชั่วโมง จากนั้นผมก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับขาซ้ายที่หายไป” นัทเล่าถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต

 

นัท ต้องทิ้งการเรียน ทิ้งความฝัน กลับมาใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีวันไหนที่ไม่ร้องไห้ เด็กอายุ 14 ปี ต้องเรียนรู้การดูแลตัวเอง แต่เขาไม่ได้โดดเดี่ยวในโลกใบนี้ ครอบครัวคนรอบข้าง มุ่งมั่นใส่ใจช่วยกันสร้างพลังบวกให้เขาใช้มันก้าวผ่านช่วงที่เลวร้ายนี้

 

 

หนึ่งปีผ่านไป มีอยู่วันนึ่ง แม่ฟังวิทยุ ได้ยินข่าวว่า วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา ชลบุรี รับสมัครนักเรียนที่เป็นผู้พิการ จึงถาม วรกิจว่าอยากไปเรียนไหม เจ้านัท ตอบตกลงเพราะเบื่อที่ต้องอยู่แต่ที่บ้าน อยากออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง จึงตัดสินใจไปเรียน ซึ่งเมื่อไปถึงก็ได้เจอเพื่อนที่เป็นคนพิการเหมือนกัน ทำให้นัทเปิดใจ บวกกับ วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ เป็นแหล่งผลิตนักกีฬาคนพิการ ด้วยความที่ตนเองชอบกีฬาอยู่แล้ว จึงเลือกเล่นกีฬาวีลแชร์เทนนิสเลยเป็นชนิดแรก 

 

 

 

เรียนไป เล่นกีฬาไปจนจบ อายุ 19 ก็มีงานทำระหว่างนั้นก็ยังเล่นวีลแชร์เทนนิสอยู่ จนรุ่นพี่ ชื่อ วิทยา พิมพ์มี ชวนมาซ้อมก็ไป แล้วผลงานเข้าตาโค้ช จึงมีโอกาสได้เก็บตัวเป็นทีมชาติ ที่ศูนย์ฝึกกีฬาคนพิการ จังหวัดสุพรรณบุรี และได้ไปแข่งขันในนามทีมชาติครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่น รายการ วีลแชร์เทนนิส เจเเปน โอเพ่น 2018 ผลงานปรากฏว่ายังไม่ดีเท่าที่ควรเพราะตื่นสนาม  ออกการจัดอันดับอยู่ที่ 300 ของโลก

 

จากนั้นก็ทุ่มเท่ฝึกซ้อมมาตลอดจนไปแข่งขันที่เกาหลีใต้อีกครั้ง จนได้เเชมป์ชายคู่ โดยจับคู่กับ บรรจบ สุวรรณ รุ่นพี่จอมเก๋า วรกิจ บอกว่า เขาไม่ใช่คนเก่ง จึงต้องซ้อมให้หนักกว่าคนอื่น 

 

"คนอื่นซ้อมหนึ่งชั่วโมง ผมจะซ้อมชั่วโมงครึ่ง หรือถ้าคนอื่นเสิร์ฟ 30 ครั้ง ผมจะเสิร์ฟ  45 ครั้ง การซ้อมหนักกว่าคนอื่นทำให้ผมทำผลงานออกมาได้ดีขึ้น แม้ว่าจะต้องเหนื่อยกว่าก็ตาม" นัท กล่าวอย่างมุ่งมั่น

 

 

ขณะที่”โค้ชตั้ม” พัฒนพงษ์ สุวรรณมงคล หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวีลแชร์เทนนิส ทีมชาติไทย บอกว่า "วรกิจ เป็นนักกีฬาที่ทุ่มเทมาก ทั้งกายและใจ เขาไม่สนว่าจะเหนื่อยแค่ไหน บอกสอนอะไร ก็จะนำมาปฏิบัติตาม พรแสวง ที่ มาควบกับ พรสวรรค์ จะนำพาเข้าสู่ความสำเร็จได้ อย่างเเน่นอน 

 

ขณะที่ผลงานล่าสุดในปี 2022 นั้น ในอาเซียนพาราเกมส์ ที่ โซโล ประเทสอินโดนีเซีย วรกิจ ลงแข่งขันในประเภทคู่ ได้เหรียญทองแดง ก็ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จตามเป้า ขณะที่กลับมาได้ไปแข่งขันที่เกาหลีใต้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเข้ารอบ 8 คนท้าย ปัจจุบันอยู่อันดับ 63 โลก ประเภทคู่อยู่ อันดับ 24 โลก เป็นคู่อันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยในปีนี้จะออกตะเวนแข่งขันเพื่อเก็บคะแนนไปพาราลิมปิกเกมส์ ที่กรุงปารีส เป้าหมายคือต้องติด 1 ใน 40 

 

สุดท้าย วรกิจ บอกว่า กีฬาทำให้เขาก้าวมาสู่จุดเปลี่ยนของชีวติอย่างแท้จริง เพราะ ทำให้เขามีคุณค่า จากเด็กพิการนั่งอยู่บ้านดูสวนทุเรียน ปัจจุบันกลายมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ  สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เขาก็สามารถมีรายได้เลี้ยงดูครอบครัวได้ โดยไม่ต้องเป็นภาระสังคม

 

โชคชะตาพรากขาไปจากเขา แต่ก็ได้มอบพลังแขนอันแข็งแกร่งให้ได้ออกผจญภัยกับโลกใบใหม่ 

 

สู้ สู้ วรกิจ แดงชื่น


stadium

author

Para Post

StadiumTH Content Creator

La Vie en Rose