stadium

การพลิกบทบาทของ ‘รัศมีแข’ จากกองเชียร์สู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ

8 พฤศจิกายน 2565

กลายเป็นที่ฮือฮาในวงการกีฬาวอลเลย์บอลไทยเมื่อ 'ไดม่อนฟู้ด-ไฟน์เซฟ’ ทีมสโมสรวอลเลย์บอลจากลีกไทยอาชีพประกาศเปิดตัวนักกีฬาในสังกัดคนใหม่อย่าง ‘รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น’ นักแสดงอารมณ์ดีที่สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมายเข้าสู่การเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลอาชีพอย่างเต็มตัว

 

การเป็นนักวอลเลย์บอลอาชีพของรัศมีแขคือความฝันที่เป็นจริงเพราะด้วยความที่เขาเติบโตมากับกีฬาชนิดนี้ กอปรกับเรื่องราวมากมายที่เขาได้สร้างสานสัมพันธ์กับทัพนักตบลูกยางสาวไทยมาตั้งแต่ยุคเจ็ดเซียน ทำให้การก้าวขึ้นมาสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพครั้งนี้มีความหมายสำหรับรัศมีแขเป็นที่สุด

 

จาก ‘คนคลั่งวอลเลย์บอลสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพ’ ของรัศมีแข การพลิกบทบาทครั้งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร StadiumTH จะพาไปรู้จักกับเขาในมุมมองของการเป็นนักกีฬาให้มากขึ้น

 

 

วอลเลย์บอลมันอยู่ในสายเลือด

 

คงไม่ต่างอะไรกับเด็กคนอื่นทั่วไปเมื่อได้เห็นและลองเล่นในกีฬาใดๆ สักชนิดหนึ่งคงหลงใหลใคร่รู้ไม่น้อย รัศมีแขก็เช่นกัน เขาบอกกับเราว่า เริ่มเล่นกีฬาวอลเลย์บอลมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถม สมัยที่ยังอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่กระทั่งสืบเนื่องเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้

 

“ตอนนั้นโรงเรียนที่เรียนอยู่จะมีทีมวอลเลย์บอลทีมหญิง เราก็ได้แต่ไปนั่งดูเขาเล่นกัน คอยเก็บลูกวอลเลย์ให้เขาบ้าง เอาลูกมาอันเดอร์เล่นบบ้าง กระทั้งไปอยู่ที่สวีเดนที่นั่นเราก็มีเพื่อนเป็นคนไทยซึ่งเขาเล่นวอลเลย์บอลให้กับทีมเขตอยู่แล้วและเห็นว่าเราพอที่จะเล่นได้ก็เลยลองชวนเราไปเล่น เราได้เข้าร่วมเก็บตัวกับทีมได้ระยะนึงก็ได้ไปเจอสมาคมวอลเลย์บอลของ LGBTQ+ ซึ่งที่นั่นก็มีพี่ๆ คนไทยร่วมอยู่ด้วยเราก็เลยได้เล่นจริงๆ จังโดยมีพี่ๆ คอยช่วยสอน แต่ว่ากีฬาวอลเลย์บอลที่ประเทศสวีเดนนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ซึ่งมีทีมแข่งขันน้อยมากๆ”

 

รัศมีแขบอกต่อว่า สำหรับวอลเลย์บอลในประเทศไทย เขาเริ่มติดตามผลงานมาตั้งแต่ปี 2009 ในช่วงที่ยุคเจ็ด เซียนได้แชมป์เอเชี่ยน วอลเลย์บอลคัพในปีเดียวกัน กระทั่งเขาเดินทางกลับมาประเทศไทยและได้พบปะกับพ้องเพื่อนที่เล่นวอลเลย์บอลชายหาดจึงทำให้รัศมีแขผันตัวเองจากในร่มสู่กลางแจ้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรคำว่าวอลเลย์บอลก็ยังเข้มข้นอยู่ในตัวรัศมีแขเช่นเดิม

 

“ความรู้สึกที่มีต่อวอลเลย์บอลไทยถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ตอนนั้นก็รู้สึกว่า เฮ้ย! วอลเลย์ไทยมันก็ยิ่งใหญ่อยู่เหมือนกันนะโดยเฉพาะทีมหญิง ในกลุ่มเพื่อนก็ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้กันเยอะขึ้นมันเลยทำให้เราต้องไปหาแมตช์การแข่งขันย้อนหลังมาดู เรามีโอกาสที่ได้เข้าไปเชียร์ทีมชาติไทยในการแข่งขันเวิร์ล กรังด์ ปีส์ ที่ตอนนั้นรู้สึกว่าจะจัดแข่งที่ประเทศไทยเราก็ไปดูด้วย ยิ่งเรามีเพื่อนที่รู้จักกันพวกเขาได้เข้าร่วมเป็นคู่ซ้อมให้กับพี่ๆ ทีมชาติมันยิ่งทำให้เราอยากที่จะเข้าไปดู เข้าไปทักทายพวกพี่ๆ ตอนซ้อมด้วยมันเลยทำให้เรามีโอกาสได้รู้จักกับโค้ชอ๊อดและพี่ๆ เจ็ดเซียน ซึ่งเราก็ทำน้องเหมือนเป็นน้องในทีมคนนึง ซื้อขนมไปให้บ้าง โทรถามว่าใครอยากกินอะไรบ้างมั้ย เวลาที่พี่ๆ ไปแข่งต่างประเทศเราก็ตามไปส่งและรับที่สนามบินพูดง่ายๆ ว่าเริ่มเข้าโหมดแฟนคลับตั้งแต่นั้น”

 

 

 

จากแฟนคลับสู่การเป็นขวัญใจแคมป์ทีมชาติ

 

กระทั่งนานวันเข้า รัศมีแขก็เริ่มสนิทชิดเชื้อกับบรรดานักกีฬาวอลเลย์บอลทีมชาติมากขึ้น กล่าวได้ว่าเขาได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้จนกลายเป็นขวัญใจของแคมป์นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงไปโดยปริยาย

 

“ในช่วงที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมในแมตช์อำลาเจ็ดเซียน หลายคนอาจจะมองว่า รัศมีแขจะอยากเล่นอะไรขนาดนั้น มากไปหรือเปล่า แต่ในความเป็นจริงพวกพี่ๆ เขาได้มีการพูดคุยกันไว้แล้วว่าจะให้เราเป็นแขกเซอร์ไพรส์ในช่วงท้ายเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศซึ่งทางสมาคมวอลเลย์บอลก็รับรู้เรื่องนี้ด้วยก็เลยกลายเป็นว่าเราได้ไปอยู่ในฝั่งของเจ็ดเซียน

 

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น รัศมีแขได้มีโอกาสเข้าไปสร้างปฎิสัมพันธ์ต่อเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน

 

“ในแมตช์ที่อำลาเจ็ดเซียนโค้ชอ๊อดก็ได้เดินเข้ามาขอบคุณกับทุกๆ เรื่องที่ทำให้เจ็ดเซียนและเขายังฝากกับเราว่า อย่าลืมน้องๆ นะฝากพวกเขาด้วยและนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงเข้ามาเกี่ยวพันธ์กับทีมวอลเลย์บอลหญิงชุดนี้ ซึ่งมันก็มีคนมองว่าเราหิวแสงบ้าง อะไรต่างๆ นานา โดยเฉพาะในโลกโซเชี่ยลมีเดียทั้งที่คนพวกนั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย เราเลยรู้สึกว่าควรจะมีความคิดมากกว่านั้น พวกเขาคิดแค่ว่าเรามาเกาะกระแสวอลเลย์บอล ถามว่าทำไมเรามาอยู่ตรงนี้มันเริ่มที่เรารักในกีฬาวอลเลย์บอลแล้วถูกดึงดูดด้วยนักกีฬาวอลเลย์บอลที่คอยเข้ามาซัพพอร์ทกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน”

 

รัศมีแขเสริมว่า ศักยภาพของนักกีฬาคือสิ่งที่ทำให้ทั่วทั้งโลกยอมรับ เราอาจจะไม่มีทีมนักวิทยาศาสตร์ที่สู้นาซ่าได้ เราอาจจะไม่มีทีมฟุตบอลที่จะสู้กับพวกยุโรปได้แต่เรามีทีมวอลเลย์บอลที่สามารถสู้กับนานาชาติได้ นั่นคือจุดเด่นของประเทศไทยเลยและไม่ใช่แค่นักกีฬาวอลเลย์บอล ชาวต่างชาติมองประเทศไทยเราว่าเป็นชาติที่เล่นวอลเลย์บอลเก่งนี่คือสิ่งที่เขามองกลับมา มันไม่ใช่แค่ระดับทีมชาติเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมไปถึงวอลเลย์บอลอาชีพด้วย 

 

“อย่างตัวแขเองเป็นนักแสดงก็ชอบที่จะออกกล้อง ชอบการแสดง เช่นกันนักกีฬาก็จะแฮปปี้ที่ได้เล่นมันสามารถสร้างอาชีพได้อย่าลืมว่าอาชีพวอลเลย์บอลเต็มที่ก็เล่นได้แค่ 10 ปี ยกตัวอย่างเช่นบุ๋มบิ๋มและเพียวที่ทีมจากลีกตุรเคียซื้อตัวไปเล่นนั่นก็เพราะศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของเขา”

 

 

บทบาทในการเป็นนักกีฬาอาชีพ

 

ด้วยทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอลบวกกับสรีระที่สูงใหญ่ของรัศมีแขและการที่เขาได้เฉิดฉายในแมตช์อำลาเจ็ดเซียนทำให้ ‘ไดม่อนฟู้ด-ไฟน์เซฟ’ ทีมวอลเลย์บอลชายไทยอาชีพมอบสัญญาการเป็นนักกีฬาในสังกัดให้กับรัศมีแขลุยศึกวอลเลย์บอลไทยแลนด์ลีก แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้ครั้งนี้ได้ รัศมีแขจึงได้ทำตามความฝันของเขาได้สำเร็จ

 

“การที่ได้เข้ามาเล่นในทีมไดม่อน ฟู้ด คือแขเองรู้จักกับเจ้าของทีมอยู่ก่อนหน้านี้แล้วประกอบกับกระแสวอลเลย์บอลชายไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ การดึงตัวแขเข้ามาร่วมทีมก็เพื่อเป็นการสร้างกระแสนิยมให้กับวอลเลย์บอลชายและเป็นการสร้างสีสันให้กับวงการวอลเลย์บอลบ้านเราเพื่อทำให้คนหันมาสนใจวอลเลย์บอลชายมากขึ้น ซึ่งการที่จะพัฒนาให้วอลเลย์บอลชายนั้น ส่วนตัวมองว่าเราต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างที่สวีเดนเขาปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่สนใจในกีฬาสามารถเข้ามาร่วมทีมได้หมดและพร้อมสนับสนุน แต่อีกเหตุผลนึงอาจเป็นเพราะอาชีพในฝันของเด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นนักกีฬา อาจจะอยากเป็นหมอ ตำรวจ หรืออะไรก็ตามแต่การที่อยากเป็นนักกีฬามันเป็นส่วนที่น้อยมาก แต่ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นกีฬาชนิดใดก็ได้ แล้วทำให้เห็นว่าการเป็นนักกีฬาก็สามารถขึ้นมายืนอยู่ในจุดที่มีชื่อเสียงในระดับโลกได้อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่รู้จักแต่ในแวดวงกีฬาคุณจะมีชื่อเสียงแน่นอน”

 

 

สำหรับการปรับตัวให้เข้ากับระเบียบ ระบบและรูปแบบการฝึกซ้อมขอบทีม รัศมีแขบอกว่า สิ่งที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไขให้เร็วที่สุดก่อนที่จะเริ่มลุยศึกไทยแลนด์ลีกคือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ส่วนสำคัญที่สุดที่เขามองว่าจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้เขายืนระยะในการแข่งขันได้นานขึ้นพร้อมทั้งเสริมอีกว่า อย่าเห็นว่าเคยเป็นดารานักแสดงไม่ต้องเกรงใจเพราะ ณ.เวลานี้รัศมีแขเป็นนักกีฬาอาชีพเต็มตัว

 

“ด้วยความที่เราไม่เคยซ้อมหนักแบบนี้มาก่อน มัดกล้ามเนื้อส่วนตัวต่างๆ จำเป็นที่จะต้องเข้าฟิตเนสตามที่โค้ชสั่งแต่ในส่วนอื่นๆ เช่น เบสิคการอันเดอร์บอล รับส่งลูก แบบนั้นเรามันได้อยู่แล้ว ด้านอื่นๆ เราบอกกับเจ้าของทีมเลยว่าไม่ต้องมาดูแลอะไรเป็นพิเศษให้ปฏิบัติเหมือนกับนักกีฬาคนอื่นๆ ได้เลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าตัวก็ให้เป็นไปตามมาตรฐานของสโมสร คือแขอยากจะใช้ชีวิตและสร้างความสัมพันธ์กับคนในทีมได้พูดคุยกันเข้าใจซึ่งกันและกัน”

 

รัศมีแขบอกว่า เป้าหมายหนึ่งเดียวนั่นคือ เก็บเกี่ยวประสบการณ์และทำในสิ่งที่ท้าทายให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการวัดศักยภาพว่าจะสามารถทำได้ดีมากน้อยเพียงใด พร้อมกันกับต้องการให้ตัวรัศมีแขเองเป็นเนมือนหนึ่งแรงบันดาลใจ ให้กับเยาวชนที่สนใจ

 

“สุดท้ายแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นนักกีฬาที่ได้รับค่าตัวถูกหรือแพงมันก็ต้องมาจากความพยายามแทบทั้งนั้น ส่วนตัวรู้สึกว่าอยากที่จะมีเรื่องเล่าเวลาที่เราเดินทางไปต่างจังหวัดพบเจอเด็กๆ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลเราก็จะเอาประสบการณ์ตรงนี้ไปบอกเล่าให้พวกเด็กๆ ฟังได้เป็นเหมือนการส่งต่อแรงบันดาลใจ คือถ้าเราไม่ได้มาอยู่จุดนี้มันก็พูดไม่ได้มันไม่สุด”

 

 

การส่งต่อกำลังใจคือสิ่งสำคัญ

 

สำหรับแฟนๆ กีฬาที่ติดตามวอลเลย์บอลรัศมี แข ฝากบอกว่า ควรจะต้องสร้างความเข้าใจร่วมกัน ในการวิพากษ์วิจารณ์ต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่เกินเลยหรือล้ำเส้นจนกลายเป็นประเด็นดราม่าเดือดระอุ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการสร้างสังคมที่น่าอยู่ร่วมกัน

 

“จะมาบอกว่าคุณ (ตัวนักกีฬา) ก็ต้องเจอกับความกดดัน ต้องรับมันให้ได้ มันไม่ใช่แบบนั้น การที่ทำแบบนั้นมันจะส่งผลกับตัวนักกีฬาโดยตรง คนที่สูง 170 เซนติเมตรจะให้มายืนตีเหมือนคนสูง 200 เซนติเมตรก็ไม่ได้ หรืออย่างนักกีฬาระดับโลกเขาก็เคยเล่นพลาด บราซิล อเมริกา พวกเขาก็เคยแพ้ แขเชื่อว่าน้องๆ นักกีฬาพวกเขาก็ต้องการกำลังใจมากที่สุดในเวลาที่ผิดพลาด ต้องเข้าใจด้วยว่าน้องๆ เหล่านั้นก็อยู่ในช่วงวัยรุ่นอยากคุยกับคนนั้นคนนี้ ไหนจะต้องไปเรียนด้วยหรืออะไรก็ตาม แต่ต้องสละเวลานั้นไปกว่าจะมาอยู่ตรงจุดนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่น้องๆ แบกเอาไว้ตอนนี้มันไม่ควรมีอะไรไปทับถมควรจะให้กำลังใจกันมากกว่า ทุกคนมีสิทธิ์ในโซเชี่ยลแต่ก็มีกฏเกณฑ์ของมัน …

 

… ตัวแขเองก็เคยผ่านจุดที่ถูกโซเชี่ยลโจมตีมาก่อน คือจะบอกว่าถ้าเรารักในการดูวอลเลย์บอลมากแค่ไหนก็จำเป็นที่จะต้องรักในตัวนักกีฬาด้วย อย่างแขเองไม่ได้รักแค่ตัวน้องๆ แต่รวมไปถึงปัญหาที่พวกเขาเจอ เรื่องราวที่ผ่านมาซึ่งมันก็ทำให้แขรู้สึกว่าเราได้ทำให้พวกเขาจริงๆ ตอนแรกก็รู้สึกท้อกับคำว่าหิวแสงถึงขั้นเกลียดเลยแต่สุดท้ายก็กลับมาคิดว่าเราทำในสิ่งที่เรารักต่อไปดีกว่าและหันมาให้ความสำคัญกับคนที่เข้าใจและรักเรานั้นดีที่สุด แขพอใจในส่วนนี้ไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตามปค่เราเห็นน้องๆ ยิ้มเราก็มีความสุขแล้ว”

 

 

รัศมีทิ้งท้ายก่อนจบการสนทนาที่น่าสนใจนี้ว่า “ความสุขไม่ได้อยู่ที่แพ้หรือชนะ แต่มันอยู่ที่การที่เราได้เห็นน้องๆ ชุดนี้ได้เข้าร่วมแข่งขันในแมตช์ใหญ่ๆ มันก็เหมือนการประกวดนางงามถ้าไม่มีเวทีต่อให้สวยแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น เหมือนกันต่อให้เล่นดีแค่ไหนแต่ไม่มีรายการใหญ่ๆ ให้แข่งขันก็ไม่มีทางได้เปล่งแสงเหมือนกันซึ่งมันจะส่งผลถึงการได้เข้าร่วมเล่นลีกอาชีพในประเทศต่างๆ ด้วยหากเรามีศักยภาพมากพอ ตัวอย่างเช่น เพียวกับบุ๋มบิ๋มที่ได้ไปเล่นลีกตุรเคียจะบอกว่ามันยากมากนะกับการที่จะได้ไปเล่นที่นั่นแต่น้องทำได้ เรามีความสุขกับการที่ได้เห็นน้องไปยืนตรงจุดนั้น ... 

 

... เพราะฉะนั้นเบื้องหลังของพวกเขาก็คือการได้ทำให้ครอบครัวสุขสบาย หาเงินให้พ่อแม่ใช้ แขบอกเลยว่าทุกครั้งที่เห็นน้องๆ เล่นไม่ว่าแพ้หรือชนะแขภูมิใจที่สุดและไม่รู้ว่ามันยิ่งใหญ่กว่าฟุตบอลหรือเปล่า แค่รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มากขนาดที่ว่าต้องสานต่อมันหยุดไม่ได้ ต้องมีเด็กรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อมาตรฐานมันสูงขึ้นก็ต้องทำให้ดีขึ้นเพราะมันหมายถึงการทำให้กีฬาวอลเลย์บอลเติบโตในระยะยาว”

 

อีกไม่นานแฟนวอลเลย์บอลจะได้เห็น ‘รัศมีแข’ ในอีกบทบาทหนึ่งนอกเหนือจากภาพจำที่เขาเคยสร้างสีสันให้กับวงการบันเทิง สำหรับครั้งนี้รัศมีแขจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการวอลเลย์บอลชายไทยได้มากหรือน้อยนั้นไม่ใช่ใจความหลักแต่อย่างใด หากแต่เป็นการทำในสิ่งที่ตัวเขาเองชื่นชอบและเล็งเห็นว่าจะช่วยให้กีฬาวอลเลย์บอลเติบโตต่อไปอย่างไร นั่นต่างหากคือสิ่งที่รัศมีแขต้องการจะแสดงออกมาให้แฟนคลับกีฬาวอลเลย์บอลชาวไทยทุกคนเข้าใจและมีส่วนร่วมในการพัฒนาวงการกีฬาไปพร้อมกัน


stadium

author

จิรวัฒน์ จามะรี

StadiumTH Content Creator

La Vie en Rose