stadium

บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ : เป้าหมายยิ่งสูงที่ยิ่งต้องพยายาม

21 สิงหาคม 2565

เราจะคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างได้อย่างไร ถ้าหากยังทำเหมือนเดิมทุกวัน “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ ที่ตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการเพื่อเดิมพันกับอนาคตของตัวเองในเส้นทางนักแบดมินตันอาชีพ ด้วยการออกมาจากการดูแลของสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทย เพื่อมาเป็นนักแบดอิสระ

 

เพราะเหตุใดเธอจึงเลือกทางเดินนี้ แล้วจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอะไรบ้าง ติดตามไปพร้อมกันกับ StadiumTH

 

 

การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต

 

ในช่วงชีวิตของใครสักคนที่เมื่อเดินทางมาถึงทางแยก ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา เดินหน้าหรือถอยหลัง ย่อมต้องหยุดให้ฉุดคิดเพื่อหาทางไปต่อที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับ “ครีม”.เธอใช้เวลาตรึกตรองอย่างถ้วนถี่ดีแล้วก่อนที่ตัดสินใจเดินแยกทางกับทางสมาคมแบดมินตัน เธอบอกว่ากังวลใจไม่น้อยกับตัวเลือกครั้งสำคัญในชีวิต

 

"ถือว่าในช่วงนี้เรารู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วแต่สิ่งที่ยังต้องกังวลก็คือการหาสปอนเซอร์หรือผู้สนับสนุนและอีกหลายเรื่องที่จะต้องเร่งจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งมันก็ค่อนข้างวุ่นวาย เพราะว่าเราต้องจัดการเองทั้งหมด เพราะหลังจากสิ้นสุดสัญญาฉบับสุดท้ายเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาเราไม่มีคนคอยจัดการให้อีกแล้ว ทุกอย่างเราต้องเป็นคนควบคุมและจัดการเรื่องต่างๆ เองทั้งหมด แน่นอนว่าการที่เราตัดสินใจไม่ต่อสัญญาออกไปเพราะว่าเราอยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าที่ผ่านมา แต่ก็ไม่เคยลืมว่าการที่เรามีทุกวันนี้ได้ก็เพราะทางสมาคมฯ และความเมตตาคุณหญิง (ปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล นายกสมาคมฯ ) ที่ทำให้เราเดินทางมาถึงจุดนี้ได้"

 

เธอย้ำว่าการที่เลือกเดินออกมาจากสมาคมไม่ได้มีปัญหาใดๆ กับใคร แต่เป็นเพราะความต้องการส่วนตัวที่อยากจะไปให้ถึงเป้าหมายในแบบของตัวเอง นั่นก็คือการคว้าเหรียญโอลิมปิก

 

"ที่ออกมาจากทางสมาคมฯ เราไม่ได้มีปัญหากับใครเลย แต่เลือกออกมาเพราะว่าเราต้องการที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นมากกว่านี้ อยากจะไปให้ถึงแชมป์โลก แชมป์โอลิมปิกแบบนั้นบ้าง ยกตัวอย่างเช่น ไต้ จื่อ อิง หรือนักกีฬาระดับโลกคนอื่นๆ ทุกคนมีเป้าหมายที่ต้องการได้เหรียญทองโอลิมปิกหรือการก้าวไปเป็นมือหนึ่งของโลก ซึ่งเราก็ได้เห็นว่าพวกเขามีทีมงาน มีนักกายภาพ มีโค้ชหรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์การกีฬาคอยประกบคู่ตลอด แน่นอนว่าถ้าเราอยากจะสู้กับเขาให จำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมที่เจาะจงมากขึ้น อะไรที่เราสามารถทำได้แล้วไม่ไปกระทบกับใครเราก็อยากจะทำ อยากลองสร้างโอกาสด้วยตัวเองดูบ้าง จึงตัดสินใจออกมาในครั้งนี้"

 

 

แม้ว่าจะลำบากใจ แต่ก็ได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว เส้นทางต่อจากนี้จะต้องพบกับอะไรบ้าง จะดีขึ้นหรือแย่ลงคงไม่มีใครตอบได้ แต่เธอก็พร้อมยอมรับและทำให้ดีที่สุด

 

"ต้องขอขอบคุณตัวเองที่กล้าตัดสินใจแบบนั้น ในขณะเดียวกันถ้าทำแล้วมันไม่ดีขึ้นกลับแย่ลงไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถตอบคำถามตัวเองได้ว่า ในวันที่เลิกเล่นไปแล้วนั้นเราได้ทำตามความฝันอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง จะได้ไม่ต้องมารู้สึกค้างคาใจที่คิดแบบนั้น เพราะว่าเราทำเต็มที่แล้วในทุกด้าน” 

 

“จุดเริ่มต้นที่ทำให้เราให้คิดแบบนี้ เกิดจากตอนเราพลาดโอลิมปิกเกม 2016 ซึ่งตอนนั้นเราเก็บคะแนนไดไม่มากพอ ก็เลยคิดว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้งเราจะต้องทำมันให้เต็มที่กว่านี้"

 

“ครีม” บอกต่อว่า การตัดสินใจในครั้งนี้เรียนรู้ได้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้ายังคงทำอะไรที่ซ้ำๆ เดิมๆ แต่คาดหวังผลลัพธ์ที่เพิ่มมากขึ้น ก็คงอาจจะเป็นเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ เพราะในเมื่อคุณคาดหวังมากขึ้นก็จำเป็นต้องทุ่มเทและพยายามลงทุนกับมันมากขึ้นตามไปด้วย

 

"ระยะเวลาที่มีอยู่ในตอนนี้เราทำเต็มที่มากๆ ในทุกมิติ พัฒนาตัวเองจากไม่มีอะไร จนก้าวขึ้นมาถึงอันดับ 11 ของโลกมันก็ยากแล้ว แต่ถ้าอยากจะให้มันดีขึ้นกว่านี้มันจำเป็นต้องมีความเปลี่ยนแปลง"

 

 

 

บุคคลที่คอยซัพพอร์ท

 

การตัดสินใจยืนด้วยลำแข้งตัวเอง เธอพยายามคิดหาทางออกที่ดีที่สุด แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงเธอตัวคนเดียว แต่บุคคลที่มีส่วนในงานตัดสินในครั้งนี้คือครอบครัวที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด พร้อมๆ กับอีกหนึ่งบุคคลที่เธอเชื่อใจอย่าง “โค้ชไอซ์” สิทธิชัย วิบูลย์สิน โค้ชคู่ใจที่ทำให้เธอได้ไปโอลิมปิก 2020 ตามที่ฝัน

 

"ตอนที่ตัดสินก็ได้บอกพ่อกับแม่เป็นคนแรก เพราะมีอะไรเราก็เล่าให้พวกท่านฟังตลอด ซึ่งครอบครัวไม่แปลกใจอะไร เพราะคงคิดว่าเราตัดสินใจดีแล้วและมีเหตุผลมากพอ เขาเลี้ยงเรามาน่าจะรู้ว่าเราเป็นคนที่อดทนเก่ง ไม่ได้ตัดสินใจด้วยอารมณ์กับเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิต จากนั้นก็ตัดสินใจคุยกับคุณหญิงหลังจบรายการอูเบอร์ คัพ"

 

พร้อมกันนี้ครีมบอกด้วยว่า ไม่ใช่เพียงแค่ครอบครัวเท่านั้นที่มีส่วนสำคัญในการเลือกทางเดินใหม่ครั้งนี้ การช่วยเหลือจาก “โค้ชไอซ์” ก็เป็นอีกบุคคลที่สำคัญเช่นกัน

 

 

"เราได้ไปขอให้พี่ไอซ์เข้ามาช่วยดูแลการฝึกซ้อม ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาครีมเปลี่ยนโค้ชไปแล้วถึง 3 คน ซึ่งการเปลี่ยนโค้ชบ่อยๆ มันส่งผลกระทบกับจิตใจเรา เพราะโค้ชแต่ละคนมีการซ้อมที่แตกต่างกัน  แต่ละคนก็มีวิธีการที่ไม่เหมือนกัน พอเริ่มใหม่ทั้งโค้ชและนักกีฬาก็ต้องปรับตัวใช้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพื่อให้การทำงานออกมาได้ผลดีที่สุด” 

“ซึ่งกับพี่ไอซ์ เราเคยทำงานกับเขามาก่อนแล้ว วิธีที่เขาเข้ามาสอนทำให้เราพัฒนาขึ้นชัดเจน ทั้งการคว้าแชมป์รายการระดับ 500 หรือหรือในช่วงท้ายของการเก็บคะแนนโอลิมปิกเต็มไปด้วยความกดดัน  การที่ขอให้พี่ไอซ์เข้ามาช่วย ทำให้เราไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ สามารถไปต่อได้เลย"

 

"ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ยอมรับว่าการออกมาทำเองแบบนี้มันเหนื่อยมากๆ ตั้งแต่การจัดการเรื่องการส่งเข้าร่วมแข่งขันหรือว่าการจองที่พักจากที่มีคนจัดการให้ เราต้องลงมือทำเองทั้งหมด แต่สำหรับเรื่องใหญ่ที่สุดคือการหาสปอนเซอร์ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้เราออกมาไม่ได้มีการเตรียมตัวในเรื่องนี้เลย มันจึงทำให้เราต้องควักเงินส่วนตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์ ที่ซ้อม รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ล้วนเป็นเงินเก็บสะสมของเราทั้งหมด ซึ่งทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ที่มีทุกวันนี้ได้ก็เพราะได้รับโอกาสที่ดีต่างจากเมื่อก่อนที่เราต้องโหนรถเมล์ไปซ้อมทุกวัน แต่สำหรับสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่นี้ต้องขอลองดูสักตั้ง ในเมื่อเราตัดสินใจออกมาทำเองแล้ว แต่จะดีกว่าถ้ามีผู้สนับสนุนเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้และสัญญาว่าจะทำให้คุ้มค่าในทุกบาททุกสตางค์อย่างแน่นอน"

 

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการเริ่มต้นใหม่ ครีมยอมรับตามตรงว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้เสมอ การลงทุนลงแรงด้วยตัวเองย่อมสร้างหยาดเหงื่อที่ไม่ใช่เพียงแทรกซึมจากร่างกายแต่ยังหยดลงในหัวใจของเธอด้วย

 

"ในช่วงเช้าเราต้องไปซ้อมแบดฯ และฟิตร่างกายที่ กกท. ซึ่มันก็ไกลจากที่พักของเรา จะเดินทางไปตลอดก็ไม่ไหว แต่ก็จะพยายามทำทุกอย่างให้มันออกมาดีที่สุด ที่ผ่านมามันยุ่งยากไปหมด ซึ่งในตอนนี้เราย้ายมาฝึกซ้อมที่บางโพธิ์ (สโมสรเก่าของครีม) ซึ่งเขาก็ยังช่วยเหลือเราให้ที่ซ้อมไปก่อน ถ้าเป็นไปได้เรามีเงินเข้ามาแล้ว เราก็อยากจะช่วยค่าใช้จ่ายพวกค่าน้ำค่าไฟ ส่วนในเรื่องนักวิทยาศาสตร์การกีฬาเราต้องหาเองทั้งหมด เพราะปกติใช้โรงยิมฯ ของสมาคมไม่เคยต้องหาอะไรเองเลย ออกมาก็ต้องหาที่ซ้อมใหม่ แต่จะซ้อมอย่างเดียวไม่ได้ต้องทำการฟิตร่างกายด้วย แต่ยังโชคดีที่ได้พี่สายลับ เลิศรัตนชัย (นักกีฬาขี่ม้าทีมชาติไทย) ให้เราได้ใช้ยิมของเขาในเล่นฟิตเนส เพื่อทำร่างกายให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา ... 

 

... ช่วงที่ผ่านมาเหนื่อยนะ มันมีหลายเรื่องที่เราต้องจัดการและให้คิด แต่ในวันที่เรายังจับจุดไม่ถูก ถือว่ายังโชคดีที่มีคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา เพื่อนคนรอบตัวที่เขาพยายามยื่นมือเข้ามาช่วย ห่วงใยเรา ตรงนี้เหมือนเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นพลังบวกที่โคตรดีให้เราเลย ขอบคุณทุกคนในตรงนี้มากๆ "

 

 

 

ก่อนจะเดินไปถึงฝันต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง

 

"สิ่งที่เราต้องพยายามปรับปรุงในสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น รูปแบบการซ้อมต้องเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม ทั้งสปีด รูปแบบการเล่นต้องเก็บรายละเอียดระหว่างเกม ต้องทำให้ดีมากขึ้นแบบเยอะมากๆ หากจะก้าวไปสู่ระดับโลก ตารางซ้อมพวกนี้เรามองว่ามันคือการฝึกวินัยของตัวเราเองและเชื่อมั่นในตัวเองว่ามีวินัยมากพอ ในทุกๆ โปรแกรมการซ้อมเราต้องทำให้ครบถ้วนเพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น"

 

ครีมมองว่าการที่ต้องออกมาทำอะไรด้วยตัวเองแล้วจะต้องทำให้ถึงดีสุดและไม่ใช่เพียงคำว่าที่สุดเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงการก้าวขึ้นไประดับโลกให้ได้อีกด้วย 

 

"ในระยะสั้นต้องเริ่มหาผู้สนับสนุนให้ได้ก่อน ต่อมาคือการทำอันดับโลกของตัวเองให้ดีขึ้น ในระยะยาวเราจะต้องคว้าสิทธิ์ไปแข่งขันโอลิมปิกให้ได้อีกครั้ง”

 

“ในสิ่งต่างๆ ที่เราได้รับมันมาก็ต้องสละอะไรไปบางอย่าง ไม่ว่าจะยากหรือง่ายมันมีระหว่างทางในตัวมันเองเสมอ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ มันคือระหว่างทางที่จะทำให้อนาคตข้างหน้าเป็นไปอย่างที่หวังไว้ ไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนก็ต้องทำให้ดีเต็มที่ ในขณะเดียวกันมันก็รู้สึกตื่นเต้นและสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่  คิดที่จะยิ่งใหญ่ถ้ามัวแต่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ ก็ไม่ได้ เรารู้สึกว่ากำลังมีไฟในตัวเอง ยังโฟกัสอยู่กับเป้าหมาย ยังสนุกอยู่กับการเล่นกีฬา ถ้าถามว่ากลัวมั้ยตอนนี้ไม่เลย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มเบื่อกับกีฬานั่นแหละน่ากลัวกว่า"

 

ในช่วงสุดท้ายของการสนทนา ครีมฝากถึงคนที่กำลังคิดที่จะออกมาเดินตามเส้นทางความฝันของตัวเองไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครก็ตามที่คิดจะออกเดินทางตามฝันด้วยตัวเอง ขอให้จงเชื่อมั่นและไปให้ถึงฝันพร้อมกับบอกว่า

 

"เราต้องซื่อสัตย์ต่อความฝันของตัวเอง" ครีมฝากทิ้งท้าย


stadium

author

จิรวัฒน์ จามะรี

StadiumTH Content Creator

La Vie en Rose