10 สิงหาคม 2565
กลายเป็นนักชกที่น่าจับตามองอีกหนึ่งคนในวงการหมัดมวยในปัจจุบันสำหรับ “ชาโด้ สิงห์มาวิน” ยอดมวยบู๊จากจังหวัดตาก แชมป์เวลเตอร์เวต เวทีราชดำเนิน ด้วยวัยเพียง 22 ปี หลังจากไม่ได้ลงสังเวียนมาร่วมปี ก่อนขึ้นชกโดนคำสบประมาทมากมาย จึงเปลี่ยนคำดูถูกให้เป็นพลังในการขับเคลื่อนตัวเอง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า เด็กบ้านนอกก็เป็นแชมป์ได้
ต้นทุนไม่ใช่ข้ออ้าง
เด็กชายวีรภัทร ปรีชา หรือเอ็ม เติบโตมากับแม่และพ่อเลี้ยง ครอบครัวลำบากมากแม้แต่บ้านยังไม่มีเป็นของตัวเอง ตอนเด็กเขาเล่าว่า “ช่วง ป.3 ต้องเข้าป่าไปหาเห็ดมาขาย นอนกลางป่ากลางเขา ผูกเปลบ้าง ถ้าเกิดไม่มีเปลก็เอาถุงปุ๋ยปูกับพื้นและนอนข้างกองไฟ มีแม่เป็นคนสอนทำงานทุกอย่างเพื่อให้ออกไปทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว”
ในช่วงวัยเด็กของชาโด้เป็นเหมือนกับเด็กทั่วๆไป ที่อยากมีของแบบคนอื่นๆ แม่ก็ได้กล่าวกับเขาสั้นๆเพียงว่า “ถ้าอยากมี ก็ต้องสร้างเอง” จนอยู่มา ป.6 เส้นทางมวยก็เกิดขึ้นจากการที่รุ่นพี่ ชวนไปซ้อมมวย พื้นฐานเป็นเด็กชอบการต่อสู้อยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ขึ้นชกครั้งแรกตามเวทีมวยต่างจังหวัด สาเหตุที่ตัดสินใจชกมวยเพราะอยากได้เงินมาช่วยแม่ส่งน้องเรียนหนังสือ เจ้าตัวบอกว่ารู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถทำให้น้องและแม่มีชีวิตที่ดีขึ้น และไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะเดินมาถึงจุดที่ได้ต่อยเป็นคู่เอก มันเกินฝันไปมากๆ
เส้นทางลูกผู้ชาย
หลังจากได้โชว์ฝีไม้ลายมือเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตามงานวัดและเทศกาลต่างๆ จนได้เป็นคู่เอกในเขตภูธร ก็เริ่มโยกย้ายเปลี่ยนมาเดินสายครั้งแรกที่จังหวัดสิงห์บุรีกับค่าย อ.วันเชิด ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะมวยกับคนในค่ายอย่างจริงจัง และก้าวสำคัญเป็นจุดเริ่มต้นก็มาถึงเมื่ออาจารย์วันเชิดพาไปชกครั้งแรกที่เวทีมวยราชดำเนิน ซึ่งไฟต์แรกที่ชกผลก็ไม่ได้ออกมาเป็นดั่งใจหวัง เขาแพ้ในการชกครั้งแรกกับเวทีในกรุงเทพที่นักชกแตกต่างจากนักมวยต่างจังหวัดที่เคยชกด้วยกันมา
แต่เมื่อเลือกเส้นทางแบบนี้แล้ว คำว่ายอมแพ้คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะเลือกใช้มัน ชาโด้ได้เรียนรู้วิธีดูแลร่างกายตัวเองให้ดีขึ้นอย่างเช่น การทำน้ำหนัก การกิน การนอน เป็นต้น เพื่อที่จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปอีกขั้น หลังจากนั้นจึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการมวยมากขึ้น ภายใต้การดูแลของค่ายมวยสวนอาหารปีกไม้ ณ ช่วงเวลานั้น
หลังจากที่แยกย้ายกับทางค่ายเก่าสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้มวยต้องหยุดจัดการแข่งขัน ทำให้จากมวยดังสู่คนว่างงาน จากที่ไม่ได้ชกมาสักพักใหญ่เมื่อเงินหมดก็ต้องออกไปหาอาชีพเสริมเพื่อประคองชีวิตความเป็นอยู่ทั้งไปเป็นช่างไฟฟ้าหรือช่างแอร์ วันหยุดก็เข้าป่าเพื่อหาของมาขาย แต่ก็ยังไม่ลืมความฝันกับการเป็นนักมวย เขาออกไปวิ่งและซ้อมทุกวันเพื่อรอโอกาสที่จะกลับไปขึ้นชกอีกครั้ง สุดท้ายได้คำแนะนำจากพี่ที่ชาโด้เคารพรักเหมือนกับพ่อ ให้ลองมาอยู่ค่าย “สิงห์มาวิน” และเขาก็เชื่อพี่อย่างไม่ลังเลใจกับการมาเริ่มใหม่ครั้งนี้จนทำให้ระเบิดฟอร์มเก่ง ฝีมือก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งอาวุธหนัก หมัด ศอก เข่า เรียกว่าครบเครื่องจากเด็กบ้านนอกสู่แชมป์ราชดำเนิน
แม่คือพลังพิเศษทางใจ
“เวลาแม่ถามผมว่าเหนื่อยมั้ย ผมตอบเขากลับไปว่า ไหวๆๆ ทั้งที่จริงแล้วผมเหนื่อยสายตัวแทบขาด” นี่คือคำพูดจากปากเด็กหนุ่มที่อยากให้แม่สบายใจ เพราะเกิดมาจากความลำบากจึงต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ถ้าวันหนึ่งผมมีค่าตัวเป็นแสน ผมจะพาแม่ผมไปทุกที่ ที่ทำให้เขามีความสุข
เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา แม่คือกำลังใจที่ดีที่สุดในชีวิตและคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ ถ้าไม่มีแม่ก็ไม่มีผมในวันนี้ ในอนาคตผมอยากมีฟาร์มวัว มีบ้าน อยากให้แม่กับน้องได้อยู่อย่างสบายถึงจะไม่มีเงินทองมากมาย ผมขอแค่ครอบครัวมีความสุขก็มีดีใจมากๆแล้วครับ..
ต้นแบบในวัยเด็ก
ความฝันของเด็กต่างจังหวัดที่ได้เห็นยอดนักสู้ขวัญใจชาวไทยอย่าง “บัวขาว บัญชาเมฆ” ชาโด้เล่าว่า “ผมดูพี่บัวขาวชกในทีวีตั้งแต่ยังไม่หัดชกมวยด้วยซ้ำ มีพี่เขาเป็นไอดอล ทั้งลีลาทักษะการชกที่ครบเครื่อง ดุดัน แข็งแกร่ง เอนเตอร์เทนคนดู เหมือนสะกดให้ทุกคนจ้องมองมาที่เขาเมื่ออยู่บนเวที ซึ่งทุกวันนี้ผมก็อยากทำให้ได้แบบพี่บัวขาว”
แมตซ์ประทับใจ & เป้าหมายในอนาคต
ถ้าเลือกการชกที่ประทับใจมากที่สุดคงเป็นการพบกับ “โลโบ้ ภูเก็ตไฟต์คลับ” เพราะผมโดนคำดูถูกมากมาย ว่าร้างเวทีมานาน ฝีมือจะยังเหมือนเดิมมั้ย ซึ่งคำพูดเหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นชั้นดี ให้ตั้งใจฟิตซ้อมอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เด็กบ้านนอกคนนี้ ยังมีไฟอยู่เสมอ และผมก็คว้าแชมป์ครั้งแรกในชีวิตให้กับตัวเองในเวทีอันทรงเกียรติ
เป้าหมายต่อไปอยากจะคว้าแชมป์รายการ “RWS Rajadamnern World Series” มาให้ได้ และหากมีโอกาสให้อนาคตอยากจะเดินตามรอยรุ่นพี่อย่างบัวขาว โกอินเตอร์ไปต่อยที่ต่างประเทศดูสักครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนไทยถ้าตั้งใจ ก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก
TAG ที่เกี่ยวข้อง