stadium

ศิวกรณ์ วงศ์พิณ : เพราะครอบครัวจึงกัดฟันสู้เพื่อความสำเร็จ

28 กรกฎาคม 2565

เด็กหนุ่มผู้ไม่มีความฝัน เติบโตมากับการแข่งเรือประเพณีในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่จังหวัดระยอง เขาตั้งใจว่าเรียนจบ ม.3 จะออกมาทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัว แต่ความโดดเด่นทางด้านการพายเรือทำให้โอกาสเข้าแคมป์ทีมชาติลอยเข้าหาแบบไม่ทันตั้งตัว แม้ชีวิตนักกีฬาจะเหนื่อยและท้อจนอยากยอมแพ้ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงครอบครัวเขาจะเงยหน้าสู้ต่อเสมอ จนวันนี้เขากลายเป็นนักกีฬาเรือกรรเชียงคู่แรกของไทยในโอลิมปิก

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เกริ่นนำเรื่องราวของ “โอ๊ต” ศิวกรณ์ วงศ์พิณ นักกีฬาเรือกรรเชียงทีมชาติไทยที่เพิ่งได้เข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกในชีวิตเมื่อปีที่แล้ว แล้วคนที่ไม่มีแม้แต่ความฝันอย่างเขา ก้าวเข้าสู่โอลิมปิกได้อย่างไร ไปติดตามพร้อมกันที่นี่

 

 

คนไม่มีฝัน

 

“ผมไม่มีความฝันเลย” ศิวกรณ์ วงศ์พิณ เริ่มเล่า “สมัยเป็นนักเรียนผมเป็นคนไม่ค่อยชอบเล่นกีฬา จำได้ว่าตอนเรียนประถม ฯ เคยเป็นนักวิ่ง นักฟุตบอล แต่ว่าไม่รุ่งก็เลยเล่นแค่ขำ ๆ" 

 

ศิวกรณ์ วงศ์พิณ หรือ โอ๊ต เด็กหนุ่มชาวเมืองระยองมีบ้านอยู่ติดริมคลองในชุมชน ถึงจะไม่ชอบเล่นกีฬาแต่ชีวิตในวัยเด็กโอ๊ตคุ้นเคยกับการพายเรือเป็นอย่างดี เพราะในชุมชนละแวกบ้านมักจะมีการจัดการแข่งขันเรือยาวประเพณีเป็นประจำ ด้วยความเป็นเด็กเขาทำได้แค่เป็นผู้ชมอยู่บนฝั่ง บ้างก็จับกลุ่มกับเพื่อนฝูงลงเล่นน้ำจับปลากันตามประสา วิถีชีวิตเรียบง่ายแบบนี้เองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเขา

 

“ช่วงที่เรียนมัธยมผมเริ่มได้ลงแข่งเรือยาวในหมู่บ้าน ตอนแรกผมแค่พายเล่น ๆ สนุกสนานตามงานไม่ได้หวังจะเป็นนักกีฬาอะไรเลย แต่มีอยู่ปีนึงสมาคมกีฬาจังหวัดระยองให้งบมาจัดการแข่งขันประจำปี แล้วมี สจ.จังหวัด มาร่วมงาน เขาคงเห็นผมหน่วยก้านดีมั้งครับ เลยเข้ามาถามว่าผมสนใจจะไปลองพายเรือกรรเชียงดูไหมเผื่อมีโอกาสจะติดทีมชาติกับเขาบ้าง ถ้าสนใจเขาจะแนะนำให้เพื่อไปทดสอบฝีมือ”

 

ความแข็งแรงที่เกินวัยโดดเด่นจนไปเตะตาผู้ใหญ่ในจังหวัดทาบทามให้โอ๊ตไปทดสอบเป็นนักกีฬาเรือพาย

 

สู้เพื่อครอบครัว

 

“ผมตัดสินใจจะไปทดสอบดูครับ" โอ๊ตเล่าต่อ 

 

"ครอบครัวไม่ได้ว่าอะไรแถมยังพาขึ้นไปส่งถึงลำตะคอง ตอนนั้น "ครูบอย" พ.จ.อ.สิทธิชัย อุทัยศรี เขาเป็นผู้ช่วยโค้ชอยู่ที่นั่นพาผมไปฝึกกับทีมชาติ เพื่อให้เราได้เห็นว่าระดับทีมชาติเขาซ้อมกันแบบไหน”

 

“ใจนึงก็กลัวนะ เพราะผมจากบ้านมาไกลตัวคนเดียว ไม่รู้จะทำได้ไหม จะอยู่ได้หรือเปล่า กลัวโดนกดดัน ซึ่งก็โดนกดดันอยู่ตลอดเพราะเราเป็นเด็กใหม่ ช่วงเดือนแรกหนักมาก เพราะผมยังไม่เป็นเลยต้องซ้อมจนกว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่เด็กปกติเขาซ้อมกัน” 

 

“ผมเหมือนเริ่มใหม่ที่ต้องพยายามไล่ตามคนอื่นให้ทัน กลัวคนอื่นมองไม่ดีด้วย เพราะคนอื่นกว่าเขาจะเข้ามาอยู่ในแคมป์แบบนี้ได้ต้องต่อสู้คัดตัวกันมาอย่างหนัก แต่เรามาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้คัดตัวมาก่อน พายก็ไม่ได้เลย แต่ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็แอบมีร้องไห้ 2-3 ครั้งแต่ไม่เคยขอกลับบ้าน” 

 

“โทรกลับไปบ้านพ่อกับแม่ก็ให้กำลังใจเราเสมอ ท่านบอกให้เราอดทนนะ ก็อดทนตลอด ที่ไม่ร้องกลับบ้านก็เพราะกลัวคนที่บ้านเสียใจ เพราะขามาเขาเหมารถตู้มาส่งเราออกจากบ้านตั้งแต่ตี 3 ถ้าเรากลับมันจะทำให้เขาเสียใจ เขาตั้งใจทำให้เราขนาดนี้เราก็ต้องสู้”

 

ครูบอย เบื้องหลังเส้นทาง

 

คนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังคอยช่วยประสานงานต่าง ๆ ให้โอ๊ตได้เข้าไปฝึกซ้อมอยู่ที่แคมป์ที่ชาติอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ก็คือครูบอย พ.จ.อ.สิทธิชัย อุทัยศรี ระหว่างอยู่ในแคมป์ โอ๊ต ต้องปรับพื้นฐานใหม่ทั้งหมด จากที่เคยหันหน้าพายเรือก็เปลี่ยนเป็นหันหลังพาย

 

ตลอดระยะ 1 เดือนโอ๊ตพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีโอกาสได้ไปแข่งรายการชิงแชมป์ประเทศไทยซึ่งก็คว้าแชมป์ได้สำเร็จ แต่ด้วยความเดียงสาของเด็กวัย 16 ปี ทันทีที่เขาแข่งเสร็จก็เก็บกระเป๋ากลับระยองบ้านเกิดทันที เพราะเข้าใจว่าหมดภารกิจที่ลำตะคองแล้วไม่จำเป็นต้องกลับไป ซึ่งโอ๊ตที่เรียนจบชั้นม.3 พอดีตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว จะออกมาทำงานช่วยพ่อแม่หารายได้ แต่แล้ววันหนึ่งเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นปลายสายนั้นคือครูบอย ที่โทรมาตามเขากลับไปซ้อมต่อในแคมป์

 

"ครูบอยบอกว่าโค้ชฝรั่งถามหาผม เขาไม่เห็นผมอยู่ในแคมป์เลยเป็นอาทิตย์ ทำไมผมแข่งเสร็จไม่กลับมาซ้อมเลยก็เลยให้ครูบอยโทรตาม กลับไปรอบนี้ผมแทบจะร้องไห้เลยไม่เคยไปอยู่ไกลบ้านนานขนาดนี้มาก่อน”

 

ครูบอย ไม่เพียงแต่เป็นคนดึงโอ๊ตกลับสู่เส้นทางนักกีฬา แต่ยังพาเขาไปสมัครเรียนต่อชั้น ม. 4 เผื่ออนาคตเมื่อเลิกเล่นกีฬาไปแล้วจะได้มีวิชาความรู้ติดตัวอยู่บ้าง เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง โอ๊ตได้เรียนและได้ซ้อมกีฬาควบคู่กันไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ก้าวสู่การเป็นตัวแทนทีมชาติในปี 2016 

โอลิมปิกของคนไม่ยอมแพ้

 

โอ๊ต ติดเยาวชนทีมชาติไทยในปี 2016 แต่ก็เป็นช่วงเวลาหลังจากที่สมาคมฯ ได้ทำการคัดตัวนักกีฬาซีเกมส์ 2017 เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ก่อนคัดตัวเอเชียนเกมส์ เขาก็เลือกที่จะพักจากการเล่นกีฬาเพื่อไปเรียนต่อนักเรียนจ่าทหารเรือที่สัตหีบ นั่นทำให้เขาไม่มีโอกาสไปแข่งมหกรรมกีฬานานาชาติเลยสักครั้ง 

 

หลังจากเรียนจบปลายปี 2020 โอ๊ต กลับมาลงแข่งอีกครั้งและได้เป็นตัวแทนไปแข่งโอลิมปิกเกมส์รอบคัดเลือกแบบโชคช่วย เนื่องจากรุ่นพี่ที่เป็นตัวหลักได้ขอถอนตัวไปรับราชการ ทำให้โอ๊ตที่เพิ่งสำเร็จการศึกษามีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น 

 

ในแมตช์คัดโอลิมปิกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งมีตั๋วโอลิมปิกเกมส์ให้เพียงแค่ผู้ชนะใบเดียว แม้ว่าผลการแข่งขันเขาจะจบอันดับ 8 แต่ทว่า 7 ประเทศที่มีอันดับเหนือกว่าเขานั้นเลือกนักกีฬาไปโอลิมปิกในอีเว้นท์อื่นทำให้โควตาโอลิมปิกเกมส์ตกมาเป็นของเขาแบบโชคช่วย

 

เรื่องโชคก็ส่วนหนึ่งแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยกเครดิตให้กับเขาด้วยเช่นกัน แม้จะรู้ว่าจะเป็นงานยาก แต่ในระหว่างแข่งขันเขาก็ใส่เต็มที่จนทำผลงานออกมาดีพอที่จะสำหรับโอลิมปิกเกมส์ เพราะหากเขาจบต่ำกว่านี้แค่อันดับเดียวก็คงไม่ได้ไปโอลิมปิกเกมส์ 2020 แล้ว

โอ๊ต ทิ้งท้ายว่า “มีบางครั้งที่อยากจะยอมแพ้ แต่พอโทรหาแม่แล้วท่านบอกให้อดทน มันเหมือนเป็นแรงผลักดันให้เรา เวลาเหนื่อยเวลาท้อคิดถึงพ่อแม่ขอกำลังใจจากท่าน ที่เราตัดสินใจเป็นนักกีฬากับเรียนนักเรียนจ่าก็เพราะอยากให้ครอบครัวสบาย มั่นคงและมีสวัสดิการ”

 

“ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้ไปโอลิมปิก พอรู้ว่าโควตาตกมาเป็นของเราก็งงเหมือนกันครับ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ จนได้เห็นข่าวออกถึงดีใจ”

 

“ผมเคยดูโอลิมปิกแค่ในทีวีมีแต่กีฬาอื่นแข่งกัน ไม่เคยเห็นมีเรือพายแข่ง ยิ่งทำให้ผมไม่เคยฝันถึงเพราะมันดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก ขนาดรุ่นพี่ที่เขาซ้อมกันหนักกว่าเราแต่ละคนฝีมือไม่ธรรมดายังไม่มีโอกาสได้ไปเลย แล้วเราเป็นเด็กใหม่มองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยว่าเราจะทำสำเร็จได้ยังไง”

 

“โอลิมปิกมันเป็นความใฝ่ฝันของนักกีฬาทุกคน ถ้ามากกว่านั้นก็คงต้องคว้าเหรียญรางวัล สำหรับผมแค่ได้ไปก็เหมือนความฝันแล้ว”

 

จากเด็กที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาถึงวันนี้โอ๊ตได้มีความฝันและทำมันสำเร็จแล้ว ซึ่งในอนาคตแฟนกีฬาชาวไทยคงต้องจับตามองกันต่อไปว่า ฝีพายกรรเชียงทีมชาติไทยที่ชื่อ ศิวกรณ์ วงศ์พิณ จะมีความฝันใหม่ที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่

 


stadium

author

ปวีน เทพพวงทอง

StadiumTH Content Creator

โฆษณา