stadium

ชัยชนะที่มาจาก "ระบบอันลงตัว" ของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด

3 กุมภาพันธ์ 2563

สิ้นเสียงนกหวีดวันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมา ในศึกปรีซีซั่น คัพ 2020 ชัยชนะตกอยู่ที่ฝั่ง “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ท่ามกลางผลงานอันสวยหรูในวันนั้น หลายคนอาจคิดว่าอีก 3 วันให้หลังที่ทั้งคู่ต้องฟาดแข้งกันอีกคราวในศึก “แชมป์ชนเเชมป์” ออมสิน ไทยเเลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2020 สิงห์ เชียงรายฯ อาจยังไม่สามารถตื่นจากความสิ้นหวัง และต้องแพ้ให้กับ การท่าเรือฯ อีกครั้ง…

ทว่าทุกอย่างดันพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ แม้การเสริมทัพของ การท่าเรือ เอฟซี ที่หลายคนยกให้เป็นทีมที่เสริมทัพดีที่สุดในตลาดซื้อขายจนถึง ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็น เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส และอดิศักดิ์ ไกรษร ที่มาผนึกกำลังกับยอดนักเตะไทยลีกยุคนี้อย่าง เซร์คิโอ ซัวเรซ, ศิวกร จักขุประสาท, ปกรณ์ เปรมภักดิ์ รวมถึง ชาริล ชัปปุยส์ ว่าที่แข้งใหม่แห่งทีมดังย่านคลองเตย แต่แมตช์นี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การที่คุณจะเล่นในนัดที่เต็มไปด้วยความกดดันซึ่งมีถ้วยแชมป์เป็นเดิมพัน ทีมที่ดีที่สุดในวันนั้น อาจไม่ใช่ทีมที่มีผู้เล่นที่เก่ง และแพงที่สุด แต่มันคือ “ระบบอันลงตัว” จากความเข้าใจกันของนักเตะในทีม

สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ไม่ได้เสริมทัพหวือหวาที่สุด
สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นทีมที่ไม่ได้มีนักเตะราคาแพงที่สุด
แต่ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นทีมที่มีนักเตะเข้าใจการเล่นร่วมกันที่สุด

พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเสริมทัพจนถึงปัจจุบันด้วยโควตาต่างชาติเพียงรายเดียวอย่าง มาอิลซอน และนักเตะไทยที่ไร้ระดับบิ๊กเนม ไม่ใช่ปัญหาต่อเป้าหมายที่ “บิ๊กฮั่น” มิตติ ติยะไพรัช จะเผยว่า สิงห์ เชียงรายฯ จะต้องเป็นแชมป์ให้มากที่สุด ได้เลย

การประสานงานตั้งแต่ในช่วงครึ่งแรกของทีม ไล่มาจากปราการหลัง 3 ตัว อย่าง ศราวุธ อินทร์แป้น, บรินเนอร์ และ ชินภัทร์ ลีเอาะ ซึ่งใช้ทีเด็ดคือ “ความเข้าใจ” ซึ่งกัน และกันเป็นไม้ตายสยบ อดิศักดิ์ ไกรษร กองหน้าตัวใหม่ของ “สิงห์เจ้าท่า” จนสลัดตัวประกบไม่ออก

ไม่ว่าเจ้า “กอล์ฟ” จะฉีกไปริมเส้นซ้าย-ขวา หรือยืนตรงกลางเพื่อพักบอล แต่แนวรับ “กว่างโซ้ง” ก็ต่างพากันเวียนประกบ และเน้นการเข้าบอลแบบใสสะอาด คือการชนแบบไหล่ต่อไหล่เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียลูกนิ่งในโซนอันตราย เพราะอย่าลืม… การท่าเรือฯ มีแข้งจอมเตะลูกนิ่งอย่าง เฮแบร์ตี้ เเฟร์นานเดส ที่พร้อมเหมาทั้งลูกฟรีคิก จุดโทษ และเตะมุม เพื่อเปลี่ยนทุกโอกาสให้เป็นประตู

ขณะที่กองกลางอย่าง อี ยอง-แร, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, ศิวกรณ์ เตียตระกูล รวมถึงฟูลแบ็ก 2 ข้างอย่าง โชติภัทร พุ่มแก้ว และสุริยา สิงห์มุ้ย ทั้งหมดล้วนเล่นด้วยความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะกับ เจ้าของหมายเลข 13 แห่ง ทัพ “กว่างโซ้งมหาภัย” โชติภัทร พุ่มแก้ว ที่สามารถเติมขึ้นไปสุดเส้นได้หลายครั้ง กระทั่งจัด 1 แอสซิสต์ ให้ อี ยอง-แร โขกเป็นประตูเบิกร่อง ให้ยอดทีมจากเมืองเหนือเล่นได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ การประสานงานกันอย่างลงตัวของแดนหน้า ก็นำมาสู่ประตูที่ 2 ตามสูตรสำเร็จฟุตบอล คือการที่ บิลล์ โรซิมาร์ แนวรุกเบอร์ 9 ของ สิงห์ เชียงรายฯ ฉีกตัวประกบไปรับบอลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมกับเกม กระทั่งแหวกหนีแนวรับ การท่าเรือ เอฟซี 2 คน ด้วยความแข็งแกร่ง ก่อนที่ ชัยวัฒน์ บุราณ จะหุบเข้ามาในกรอบเขตโทษและเข้าถึงบอลก่อน เอเลียส ดอเลาะ และตอกส้นเข้าไป

ซึ่งการประสานงานในลักษณะนี้ของลูกทีม “โค้ชโชค” โชคทวี พรหมรัตน์ อาจยังไม่เห็นเท่าที่ควรในเกมนี้ หรือหากพยายามทำ ก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากการครอสบอลจาก ปกรณ์ ที่นับว่าเป็นจอมเเอสซิสต์ของทีม หรือการลากตัดเข้าในของ เฮแบร์ตี้ เพื่อทำทางและเล่นกับเพื่อนร่วมทีม ยังไม่บรรลุผลตามที่ต้องการ เพราะอาจยังขาดความเข้าใจต่อกันและกัน

จึงไม่น่าแปลกใจที่แฟนบอล การท่าเรือ เอฟซี ต้องกลับบ้านไปอย่างผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า การท่าเรือฯ ที่แม้ช่วงปรีซีซั่นจะโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีเท่าที่ควร ตั้งแต่ตกรอบคัดเลือกรอบ 2 ศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2020 แบบไม่มีใครคิด ณ รังเหย้าของตนเองท่ามกลางกองเชียร์ล้นสนาม จะสามารถกลับมาสู่เส้นทางของพวกเขาได้แน่… หากพวกเขามีระบบทีมที่ลงตัวมากขึ้น

ส่วน สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ทำผลงานได้ดีในแมตช์นี้ ก็ยังประมาททีมอื่นๆ ไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าปีนี้ บุรีรัมย์ฯ ก็ตั้งเป้ากลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ด้วยการเสริมนักเตะต่างชาติใหม่ 2 ราย เพื่อผสมผสานกับนักเตะชั้นนำที่มีอย่าง สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา รวมถึง ศุภชัย ใจเด็ด ขณะที่ ทรู แบงค็อกฯ, เอสซีจี เมืองทองฯ, การท่าเรือฯ หรือแม้กระทั่งชลบุรีฯ ที่ทุ่มงบประมาณทำทีมถึง 100 ล้านบาท ก็พร้อมแย่งตำแหน่งแชมป์ทุกวินาที หาก สิงห์ เชียงรายฯ ทำแต้มหลุดมือ…

แต่บทสรุปในแมตช์นี้เป็นเพียงแค่ฉากแรกในช่วงก่อนเริ่มซีซั่นใหม่ ส่วนของจริงที่รออยู่คือไทยลีก 2020 ที่ต้องฟาดฟันกัน หากอยากจบหนังชีวิตเรื่องนี้ด้วยการเป็น “แชมป์”

จงตั้งใจทุกนาทีที่เเข่ง
จงตั้งใจทุกนาทีที่ซ้อม
และสักวัน รางวัลแด่คนช่างฝันจะอยู่ในมือคุณ...

“เก้น” นิติพงษ์ ยวนตระกูล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล - ฟุตซอล ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสินใจยกหัวใจให้ “เกมลูกหนัง” เป็นตัวนำทางชีวิต
 


stadium

author

เก้น นิติพงษ์ ยวนตระกูล

ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล - ฟุตซอล ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนัง

La Vie en Rose