stadium

Dream Story : ธีรศักดิ์ เผยพิมาย “ความฝันที่มาเร็วเกินคาด”

25 กุมภาพันธ์ 2565

คนทุกคนย่อมมีความฝัน และหนึ่งในความฝันสำหรับเด็กผู้ชายหลายคนในสมัยนี้ นั่นก็คือ อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อยากเป็นเหมือนไอดอลที่ตัวเองชื่นชอบ และอยากติดทีมชาติ เช่นเดียวกับ “ต้น” ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ที่คิดว่าฟุตบอลคืออาชีพสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ทำให้เริ่มเดินหน้าล่าฝันจนกระทั่งเป็นจริง และบางสิ่งก็มาเร็วเกินกว่าที่ตัวเองคาดคิด

 

 

จุดเริ่มต้นบนถนนลูกหนังขาสั้น

 

ตอนเด็กๆ เวลาถูกถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” หลายคนอาจจะยังไม่มีคำตอบในใจ เช่นเดียวกับเด็กชายจาก อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ที่อาชีพนักฟุตบอลยังไม่อยู่ในความคิด เพียงแค่อยากจะเล่นกับเพื่อนตามประสาเด็ก

 

“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ประถมตอนพักกลางวันตามประสาเด็กไม่ได้จริงจังอะไร ตอนนั้นเรียนอยู่ที่โรงเรียนนิคมสร้างตนเองพิมาย 2 ในตำบลใกล้บ้าน ก่อนย้ายไปเรียนระดับมัธยมในตัวอำเภอที่โรงเรียนพิมายวิทยา ก็เริ่มเล่นฟุตซอลให้โรงเรียนตระเวนแข่งในจังหวัด จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนหลังจากจบ ม.3 ผู้ปกครองของเพื่อนมีรุ่นพี่เคยเรียนอยู่ที่สุรศักดิ์มนตรี ก็เลยพาไปคัดตัวในโควตานักกีฬา ซึ่งเป็นการเข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกในชีวิต”

 

“ที่สุรศักดิ์มนตรี ผมก็ยังเล่นฟุตซอล และได้รับโอกาสจาก อ.สกล (เกลี้ยงประเสริฐ) ไปแข่งขันกับรุ่นพี่ที่พัทยา อ.สกล น่าจะเห็นแวว เลยดันไปเล่นฟุตบอล 7 คน แชมป์กีฬา 7 สี ครั้งแรกผมยิงไปประมาณ 8-9 ประตู ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์สำเร็จ จากนั้นปีถัดมาก็ยิงไปอีก 13 ประตู คว้ารางวัลดาวซัลโวประจำรายการมาครอง” 

 

 

จุดเปลี่ยนสู่เส้นทางนักเตะอาชีพ

 

เพราะความฝันเป็นเสมือนการสร้างแรงบันดาลใจที่จะช่วยผลักดันให้ก้าวสู่ความสำเร็จที่วาดไว้ ทำให้ ณ เวลานั้น “ต้น” ธีรศักดิ์ เผยพิมาย จึงมีความฝันจริงๆ จังๆ ที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

 

“ผมมีโอกาสลงเล่นฟุตบอล 11 คนครั้งแรกในรายการของกรมพละศึกษา รุ่น 16 ปี ตอนแรกผมถูกจับเล่นในตำแหน่งกองหลัง จนมีแมตช์นึงถูกเปลี่ยนลงไปเล่นเป็นกองหน้าเจอกับท่าข้ามพิทยาคม และก็ยิงได้เลย หลังจากนั้น อ.สกล ก็จับเล่นกองหน้ายาว”

 

“จุดเริ่มต้นของผมในการก้าวเข้าสู่วงการฟุตบอลอาชีพ เกิดขึ้นตอนที่ผมยังไม่จบ ม.6 วันนั้น อ.จตุพร ประมลบาล เข้ามาหา อ.สกล บอกว่าต้องการตัวผมไปเล่นให้กับพราม แบงค็อก เอฟซี ซึ่ง อ.สกล ตอบตกลงทันที ท่านรับปากก่อนจะมาถามผมด้วยซ้ำเพื่ออนาคตของผมเอง ผมก็เลยได้ไปเล่นฟุตบอลอาชีพและเรียนไปด้วยในเวลานั้น” 

 

“ฤดูกาลแรกกับพราม แบงค็อก ในศึกไทยลีก 3 ฤดูกาล 2020 ผมได้รับโอกาสลงสนามมากพอสมควร โดยลงตัวจริงทั้งหมด 13 นัด ยิงไป 9 ประตู ก่อนที่ฟุตบอลลีกจะตัดจบเพราะสถานการณ์โควิด-19”

 

“ผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่ทำผลงานได้ดีในฤดูกาลแรกของฟุตบอลอาชีพ แม้ว่าผมจะเติบโตมาจากฟุตบอลนักเรียนที่อาจจะไม่เข้มข้นเท่าระบบอะคาเดมี มันทำให้ผมรู้เลยว่าผมยังต้องพัฒนาตัวเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะการฝึกซ้อมในแต่ละครั้ง และผมต้องพยายามปรับตัวอยู่เสมอ”

 

 

ติดทีมชาติครั้งแรกในชีวิต

 

ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ เพราะด้วยเงื่อนไขและต้นทุนชีวิตที่แตกต่างหรือด้วยความสามารถที่ล้วนส่งผลให้โอกาสมีไม่เท่ากัน แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังอยากที่จะฝัน เพราะตราบใดที่ยังมีฝัน ก็ย่อมมีความหวังว่าสักวันหนึ่งฝันนั้นจะเป็นจริง

 

“ผมมีพี่มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) เป็นไอดอล ผมอยากเป็นเหมือนพี่มุ้ย และก็มีความฝันเหมือนนักฟุตบอลทุกคนคืออยากติดทีมชาติและลงเล่นให้กับทีมชาติสักครั้งในชีวิต แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้ เพราะผมไม่เคยติดทีมเยาวชนรุ่น 16 ปี หรือ 19 ปีมาก่อน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีชื่อติด 29 คนไปเข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติในรุ่น 23 ปีครั้งแรก”

 

“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เพราะไม่มีวี่แววมาก่อนเลยว่าจะมีชื่อตัวเอง ก็รู้สึกช็อกและงงอยู่เหมือนกัน เพราะนี่คือการติดทีมชาติครั้งแรกในชีวิต ส่วนจุดที่คิดว่าทำให้ตัวเองได้รับโอกาสนี้อาจเป็นเพราะผลงานการยิงประตูในศึกไทยลีก 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา ที่ทีมงานโค้ชอาจจะถูกใจ รวมทั้งรุ่นพี่ๆ อาจจะติดภารกิจรับใช้สโมสร”

 

“หลังจากได้รับโอกาสเข้าแคมป์ 29 คน ก็ไม่คิดว่าจะถูกเรียกอีกครั้ง แต่ก็ทำเต็มที่ แต่พอประกาศ 27 คน ยังมีชื่อ รู้สึกดีใจมากและยิ่งดีใจไปกว่านั้นเมื่อมีชื่อติด 23 คนสุดท้ายในศึกชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือกที่มองโกเลีย นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมจะได้รับ ซึ่งโค้ชโย่ง (วรวุธ ศรีมะฆะ) พยายามสอนผมและบอกกับผมว่าถ้ามีโอกาสก็ทำให้เต็มที่”

 

 

ความฝันที่มาเร็วเกินคาด

 

ใครจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มวัยเพียง 19 ปี และโลดแล่นอยู่แค่ระดับไทยลีก 3 จะก้าวกระโดดไปไกลอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เพราะนอกจากจะมีชื่อติดทัพ “ช้างศึก” ลุยเวที U-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2022 รอบคัดเลือกแล้ว กองหน้าดาวรุ่งหมายเลข 18 ยังมีโอกาสได้ลงสนามทั้ง 3 นัดอีกด้วย

 

“ตอนนั้นผมแทบจะหูดับไปเลยเมื่อโค้ชให้โอกาสผมลงสนามเป็นตัวสำรอง แม้จะมีเวลาเหลือแค่ 3 นาที รวมทดเจ็บอีก 4 นาที แต่เป็น 7-8 นาทีที่ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่เกมแรกที่เสมอกับเจ้าภาพ มองโกเลีย 1-1 ผมยังไม่ค่อยโดนบอลเท่าไหร่ เพราะเวลาที่ลงไปมีน้อย จึงทำอะไรไม่ได้มากนัก”

 

“เกมสอง ผมมีโอกาสได้เปลี่ยนตัวลงสนามตั้งแต่นาทีที่ 33 (แทน ตะวัน โคตรสุโพธิ์) ตอนนั้นทีมชาติไทยยังเสมอกับลาว อยู่ 0-0 ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น เริ่มหายจากอาการตื่นเต้น และรู้สึกพอใจที่ทำให้เกมเปลี่ยน แม้ผมจะทำประตูไม่ได้ แต่ก็ทำแอสซิสต์ได้ในลูกที่ 2 ก่อนที่ทีมชาติไทยจะเอาชนะไป 3-0”

 

“เกมสุดท้ายกับมาเลเซีย ผมได้โอกาสอีกครั้ง เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงไปเล่นในนาทีที่ 24 (แทน เบนจามิน เดวิส) ผมรู้สึกดีใจว่าตัวเองอยู่ในแผนของโค้ช แต่ก็ยังขาดในส่วนที่ยังทำประตูไม่ได้ ยังไม่กล้ายิงเท่าไหร่ ซึ่งผมคงต้องพยายามปรับปรุงและพัฒนาต่อไปในเรื่องการจบสกอร์”

 

 

เรือเล็กได้เวลาออกจากฝั่ง

 

เพราะฟุตบอลคือชีวิต แม้ความฝันของ “ต้น” ธีรศักดิ์ เผยพิมาย จะมาเร็วเกินคาด แต่กองหน้าดาวรุ่งวัย 19 ปีรายนี้มองว่าเพิ่งเริ่มต้นและต้องไม่หยุดพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายในอนาคต

 

“สำหรับผม ฟุตบอลเหมือนอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว เป้าหมายตอนนี้ผมต้องการก้าวขึ้นไปเล่นในลีกที่สูงขึ้น เหมือนเรือเล็กที่ต้องออกจากฝั่ง ไปเจอกับพวกพี่ๆ ที่มีประสบการณ์จะได้พัฒนาฝีเท้าตัวเอง และก็หวังว่าจะทำให้ได้เหมือนพี่มุ้ย”

 

“ส่วนทีมชาติ ตอนนี้ผมอายุแค่ 19 แต่ได้ขึ้นชั้นไปเล่นกับรุ่นพี่ 23 ผมรู้สึกว่ามันเร็วไปมากเลยทำให้ประสบการณ์ผมยังน้อย จึงต้องค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมถือว่าเพิ่งเริ่มต้น อนาคตรอบสุดท้าย U-23 ผมคงต้องพยายามทำผลงานในสโมสรให้ดีที่สุดเพื่อจะได้โอกาสอีกครั้งในปีหน้า”

 

 

ขอบคุณภาพจากเพจช้างศึก


stadium

author

StadiumTh Team Content

StadiumTH Content Creator

La Vie en Rose