19 ตุลาคม 2564
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ตี๋” สินทวีชัย หทัยรัตนกุล คือผู้รักษาประตูระดับตำนานอีกคนของเมืองไทย วัดจากประสบการณ์ที่เขาฝากผลงานในวงการฟุตบอลมายาวนาน ผ่านความสำเร็จทั้งการคว้าแชมป์ฟุตบอลไทยลีกกับสโมสรชลบุรี เอฟซี ในปี 2550 และการเล่นให้กับทีมชาติไทยอย่างทุ่มเทเป็นเวลา 14 ปี จากดาวรุ่งพัฒนาไปสู่นักเตะมืออาชีพ กลายเป็นแบบอย่างให้กับรุ่นน้องทั้งในสโมสรและทีมชาติ ทั้งในเรื่องของทัศนคติที่ดี ความมีวินัย ความทุ่มเท ขยันฝึกซ้อม และความเป็นนักสู้ในสนามแข่งขัน ที่พร้อมสู้จนถึงนาทีสุดท้าย
หลังจากสินทวีชัยประกาศยุติการเล่นให้ทีมชาติเมื่อปี 2560 เขายังมุ่งมั่นต่อไปในฟุตบอลระดับสโมสร นอกจากนั้นยังเดินหน้าก่อตั้งสมาคมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นองค์กรที่ให้ความรู้และประสานงานช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับเพื่อนนักฟุตบอล
ถึงวันนี้แม้อายุ 39 ปีแล้ว สินทวีชัยยังรักษาคงรักษาความฟิต และมีสภาพร่างกายยอดเยี่ยมพอที่จะเล่นฟุตบอลระดับสูงได้ต่อไป อีกทั้งเขาเพิ่งตอบรับความท้าทายครั้งใหม่ ด้วยการย้ายจากสโมสรชลบุรี เอฟซี ไปสู่เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเลื่อนชั้นสู่ไทยลีก 2 และเสริมกำลังผู้เล่นคุณภาพคับทีม จนถูกจับตามองว่าเป็นอีกทีมเต็งที่มีสิทธิ์คว้าตั๋วขึ้นลีกสูงสุด
ยืนยันให้รู้ว่านายทวารมากประสบการณ์รายนี้ยังไม่หมดไฟ เรื่องราวและความคิดของเขายังคงน่าติดตามเสมอในแวดวงฟุตบอลไทย
1.
“เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ดเป็นทีมน้องใหม่ที่เรามองเห็นว่า เขามีความตั้งใจอยากขึ้นไทยลีก และมีโครงสร้างของทีมที่มีอนาคต คิดว่าสามารถขึ้นมาเล่นไทยลีกได้” สินทวีชัยเผยถึงการย้ายทีมครั้งล่าสุด “บวกกับโค้ชของทีมคือเซอร์จเด็จ (จเด็จ มีลาภ) ซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกัน กลายเป็นหลายเหตุผลรวมกันทำให้เราเลือกมาที่นี่ครับ”
กระทั่งฟุตบอลไทยลีก 2 ฤดูกาล 2021/22 ผ่านมาได้ 4 นัด ชื่อของสินทวีชัยก็ปรากฏในหัวข้อข่าวที่คนสนใจ จากนัดที่เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านพบกับระยอง เอฟซี เมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกมทั้งที่เหลือการทดเวลาอีก 1 นาที ก่อนพยายามให้ทั้งสองทีมกลับมาแข่งขันให้ครบเวลา แล้วมีผู้เล่นทีมเยือนบางส่วนไม่เห็นด้วย กระทั่งสินทวีชัยต้องเข้ามาเจรจาให้นักเตะทีมคู่แข่งกลับลงสู่สนาม เพื่อแข่งกันให้จบเกม หลังเหตุการณ์นี้มีแฟนบอลชื่นชมในโลกออนไลน์ว่าสินทวีชัยมีทัศนคติที่ดี ขณะเจ้าตัวให้ความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวว่า
“ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องของความเข้าใจก่อนนะครับว่ากีฬามีแพ้มีชนะเป็นปกติ สิ่งที่เราต้องมีคือสปิริต หรือทัศนคติที่ไม่ใช่คิดแค่จะเล่นเพื่อชัยชนะอย่างเดียว จนมองข้ามกฎกติกา มิตรภาพ หรือความเห็นอกเห็นใจกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องของทุกฝ่าย ทั้งนักเตะเอง กรรมการ ฝ่ายจัดการแข่งขัน และแฟนบอลด้วย”
“เราต้องยอมรับว่าวงการฟุตบอลไทยกำลังพัฒนาอยู่ในทุกๆ ด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องผลงานหรือผลการแข่งขัน แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลก็เพิ่งเริ่มต้น เพราะฉะนั้นอะไรที่ผิดพลาดหรือบกพร่อง คิดว่ามันแก้ไขได้ แล้วถ้าจะให้เดินต่อไปข้างหน้า ก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ยอมกันหรือเสียสละกันบ้าง”
แล้วเมื่อพูดถึงภาพรวมของวงการ ในฐานะนักเตะมากประสบการณ์ สินทวีชัยมองการเปลี่ยนแปลงของฟุตบอลไทยตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า
“ทุกส่วนพยายามที่จะพัฒนาตัวเอง นักฟุตบอลพยายามพัฒนาความเป็นมืออาชีพให้มากขึ้นทั้งในและนอกสนาม เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน โค้ชและกรรมการก็มีการพัฒนา ผ่านการเข้าอบรมต่างๆ แม้กระทั่งคนดูก็พัฒนาเรื่องความเข้าใจของเกมการแข่งขัน หรือรูปแบบต่างๆ ของเกมฟุตบอล หรือการบริหารจัดการของสโมสรก็มีการพัฒนาไปในทางที่ดี เพียงแต่ทั้งหมด...เรายังไปได้ไม่มากพอ ในมุมมองผมนะ เรายังเดินหน้าได้ไม่เร็วอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนฟุตบอลญี่ปุ่นที่เดินหน้าไปไกลแล้ว เรื่องนี้เราก็ต้องยอมรับว่าด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง บริบทในเมืองไทยมันจำกัดหรือลดทอนความก้าวหน้าในทุกๆ ด้านไป”
เมื่อถามว่าอยากเห็นฟุตบอลไทยพัฒนาไปอย่างไร สินทวีชัยตอบว่า “ตอนนี้ถ้ามองเรื่องภาพรวม โครงสร้าง เรามีการรวบรวมทฤษฎีออกมาเป็นรูปเล่ม แต่ว่าในทางปฏิบัติ ผมคิดว่ามันต้องสอดคล้องกัน มันต้องทำจริงด้วย คือต้องจริงจังมากกว่านี้ และที่สำคัญเลย ทั้งหมดทั้งมวลจะเดินไปไม่ได้เลยถ้าขาดงบประมาณที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันวงจรนี้ให้เดินหน้าเร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
2.
นอกจากการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่มุ่งมั่นสร้างผลงานในสนามแข่งขัน อีกด้านหนึ่งหลายคนคงรู้แล้วว่า สินทวีชัยยังมีบทบาทริเริ่มก่อตั้ง สมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศไทย หรือ พีเอฟเอ ไทยแลนด์ (PFA Thailand) เมื่อปี 2561 จากจุดเริ่มต้นที่อยากมุ่งแก้ปัญหาต่างๆ ที่นักฟุตบอลไทยต้องพบเจอ โดยที่เขารับตำแหน่งนายกสมาคมคนแรก
“จุดประสงค์คือเราอยากสร้างความรู้ ความเข้าใจจริงๆ เกี่ยวกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ รวมทั้งเรื่องที่ควรตระหนักหรือใส่ใจ ยกตัวอย่างเช่น การวางแผนเรื่องการเงิน รู้หรือเปล่าว่าเมื่อเรามีรายได้สูงขึ้น เราควรต้องจ่ายภาษี ถ้าเงินเดือนเกินแสน เราต้องจ่ายภาษีแน่ๆ แล้วเราจะบริหารเงินยังไง ถ้าเรารู้แล้วทำ ก็ถือว่ามีการวางแผน แต่รู้แล้วไม่ทำ แสดงให้เห็นว่าไม่ใส่ใจ ซึ่งผมคิดว่านักฟุตบอลไทยยังไม่ตระหนักเรื่องนี้มากนัก”
ขณะเดียวกันเมื่อฟุตบอลไทยพัฒนาสู่รูปแบบธุรกิจเต็มตัว แฟนบอลคงพอรับรู้ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นระยะ เกี่ยวกับปัญหาระหว่างนักฟุตบอลกับสโมสรต้นสังกัด เช่น การยกเลิกสัญญาแบบไม่เป็นธรรม การติดค้างหรือไม่ยอมจ่ายค่าเหนื่อย ฯลฯ ซึ่งสินทวีชัยอธิบายเรื่องนี้ว่า
“เมื่อเกิดข้อพิพาทต่างๆ ระหว่างนักเตะกับสโมสร จริงๆ เป็นหน้าที่ของนักฟุตบอลที่จะต้องจัดการเอง แต่ถ้าไม่สามารถเคลียร์กันได้ เราเปรียบเสมือนคนกลางที่จะประสานให้เขาเจรจา หรือประนีประนอมเพื่อให้ทุกอย่างเดินไปได้ มันไม่ใช่หน้าที่ของเราโดยตรง”
“อย่างที่บอกว่า จุดประสงค์หลักในการทำสมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศไทย คือการให้ความรู้กับนักฟุตบอลตั้งแต่ต้น เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา แต่ในเมื่อปัญหาเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราจะทำได้ในบริบทของวัฒนธรรมไทยก็คือ การประสาน การเจรจา ทำให้ทั้งสองฝ่ายลงรอยกันด้วยดี”
“ที่ผ่านมาเคสพวกนี้มาเยอะครับ แล้วก็เคลียร์ไปได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่ถ้าทำได้เราเคลียร์ให้มันจบ ทั้งสโมสรและนักเตะแนะนำให้จบด้วยดี เพราะสังคมฟุตบอลค่อนข้างแคบ มันถึงกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นผมไม่เห็นด้วยที่จะให้เกิดข้อพิพาทหรือการฟ้องร้องกัน แต่ทั้งหมดก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่เป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย”
อีกเรื่องหนึ่งที่สินทวีชัยกล่าวถึง หนีไม่พ้นสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อนักฟุตบอลไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ ในสังคมไทย เหตุจากฟุตบอลเลื่อนการแข่งขัน หรือต้องแข่งโดยไม่มีคนดูในสนาม
“เรื่องโควิดส่งผลกระทบแน่นอนครับ ตัวผมวางแผนอย่างดียังประสบปัญหา อย่างน้องๆ บางคนก็โดนลดเงินเดือน แม้แต่สโมสรก็เกิดปัญหาว่าไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีรายได้เข้า เราต้องมองภาพรวมและทำให้นักเตะเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันกระเทือนกับทุกฝ่าย ฉะนั้นถ้านักฟุตบอลจะไม่ยอม หรือว่าไม่มีส่วนผ่อนปรนให้กับสโมสร มันจะเดินหน้าต่อลำบาก เพราะสโมสรก็พร้อมจะล้มอยู่แล้วตอนนี้จากการแบกภาระ แต่พอได้พูดคุยอะไรกันแล้ว นักฟุตบอลเข้าใจ ประนีประนอม ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ จนฟุตบอลกลับมาแข่งขันต่อ”
3.
ย้อนกลับมาพูดคุยเรื่องราวประสบการณ์ส่วนตัวบ้าง ตลอดหลายปีที่ชีวิตโลดแล่นในวงการฟุตบอล สินทวีชัยผ่านพบทั้งความสุขและทุกข์ แต่เขาเผยว่าช่วงเวลาประทับใจที่สุดคือสมัยที่อยู่กับสโมสรชลบุรี เอฟซี
“การเล่นฟุตบอลให้แต่ละทีม แต่ละช่วงมันก็มีทั้งสุข-ทุกข์ปนกันไป มีโมเมนต์ที่น่าจดจำไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นโมเมนต์ที่ปฏิเสธไม่ได้ ให้ความรู้สึกครบทุกอย่าง ก็เป็นช่วงที่อยู่กับทีมชลบุรีครับ ในปีที่ได้แชมป์ (พ.ศ. 2550) ซึ่งครั้งนั้นยังเหมือนเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับคนทำทีมสโมสรอื่นในจังหวัดอื่นๆ ให้มีความตื่นตัวอยากทำทีมฟุตบอล และให้คนอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพด้วย”
นับจากสินทวีชัยก้าวสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ผ่านการเล่นให้กับหลายสโมสร อะไรทำให้เขาสามารถยืนระยะมาถึงวันนี้ ในวัย 39 ปีที่สภาพร่างกายยังยอดเยี่ยม มีความฟิตเพียงพอสำหรับตำแหน่งนายประตูมือหนึ่งแห่งทีมเมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด
“อันดับแรกผมคิดว่าเป็นเรื่องการซ้อม แต่ละครั้งมันต้องถึงระดับที่เราเคยทำได้ สมมุติเราเคยวิ่ง 10 รอบ ปัจจุบันก็ต้องวิ่ง 10 รอบให้ได้ หรืออย่างน้อยต้อง 9 รอบ ความจริงฟุตบอลมีหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ผมยกตัวอย่างกว้างๆ ให้ฟัง”
“เพราะผมเคยชินกับการซ้อมแบบนี้ รู้สึกว่ามันตอบโจทย์เรา เมื่อไหร่เราฟิตซ้อมถึงระดับที่เคยทำได้ มันทำให้เรามั่นใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเราทำไม่ได้ถึงระดับนั้น ก็จะเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราฟิตพอไหม เรายังโอเคอยู่ไหม”
“พูดถึงการฟิตซ้อมก็ยังขยายความไปได้อีก ซ้อมอย่างเดียวจะฟิตไหม ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต้องมีเรื่องอื่นๆ ประกอบ พักผ่อนพอไหม กินอาหารดีไหม โปรตีนและอาหารเสริมต่างๆ อะไรไม่มีประโยชน์เราก็ต้องลดละ”
นอกจากสภาพร่างกายที่ฟิตเพียงพอแล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของสภาพจิตใจที่ไม่เคยหมดไฟกับการเล่นฟุตบอล
“โชคดีตรงที่ผมหลงใหลและหลงรักกีฬาฟุตบอลมานาน จากประสบการณ์หลายครั้งของตัวเองเวลาที่เราหยุดเล่น หรือไม่ได้เล่นฟุตบอล เรายังรู้สึกว่าขาดฟุตบอลไม่ได้ มันรู้สึกเหงาหรือไม่สนุก ตรงนี้เลยตอบโจทย์ว่าเมื่อไหร่ที่เราได้ลงเล่น เราต้องเต็มที่กับฟุตบอล สนุกกับมันในทุกๆ วัน แม้กระทั่งซ้อม ทำให้เรายังไม่หมดแพสชั่นเลย”
“บวกกับสภาพร่างกายที่ยังฟิตสำหรับการฝึกซ้อมและการแข่ง มันก็เลยไปด้วยกันได้ ในทางกลับกัน ถ้ามีแพสชั่น แต่สภาพร่างกายไม่โอเคแล้ว การซ้อมก็คงไม่สนุก ลงแข่งขันก็คงไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นคงต้องมาทบทวนกัน”
สินทวีชัยกล่าวต่อ “ตอนนี้พอเริ่มอายุมาก ผมจะประเมินตัวเองทุกๆ ปีในตอนสิ้นฤดูกาลว่าเราเป็นยังไง เราสามารถจะเล่นต่อได้ไหม ถ้ามันไม่โอเค เราคงต้องตัดสินใจ ถ้าประเมินแล้วว่าเป็นคำตอบที่เราไม่เสียใจภายหลัง แต่ตอนนี้มันยังโอเคอยู่ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ฟอร์มของทั้งทีมไม่ดี เราก็ต้องแก้ไขไป มันเป็นวัฏจักรของนักฟุตบอลที่ต้องเจอความท้าทายแบบนี้ทุกๆ ปี อยู่ที่เราจะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ยังไง”
4.
สำหรับสถานการณ์ของทีมเมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดของสินทวีชัย หลังฟุตบอลไทยลีก 2 เปิดฤดูกาลไปไม่นาน ตัวเขายอมรับว่าทีมยังทำผลงานไม่พุ่งแรงตามที่หลายคนคาดหวัง
“ดูจากตารางคะแนนก็ต้องยอมรับว่าผิดหวังสำหรับ 4 เกมแรก แต่ผมคิดว่าเป้าหมายของเราก็เหมือนอย่างที่ทุกคนมองแหละครับ (ขึ้นไทยลีก) เพราะนักฟุตบอลที่เสริมเข้ามาก็มีดีกรี แต่ถามว่ากดดันไหม ก็กดดันอยู่แล้วครับ เพราะเราอยู่กับความคาดหวังของแฟนบอล แล้วก็เป้าหมายของสโมสร และเป้าหมายของตัวเองด้วย”
“แต่ก็เป็นเรื่องปกติ เราก็มาประเมินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ตอนนี้ต้องวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ผมมองว่าเรายังมีเวลาที่จะปรับปรุงและแก้ไขอยู่”
ส่วนเป้าหมายระยะยาวในวงการฟุตบอล สินทวีชัยมองอนาคตตัวเองไว้ว่า “เรื่องการเป็นโค้ชก็มีอยู่ในหัว แต่ต้องรอดูโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม ที่คิดเรื่องนี้เพราะเราก็มีประสบการณ์กับฟุตบอลมาทั้งชีวิต จึงอยากจะแบ่งปันให้กับนักเตะรุ่นหลัง”
“ผมอยากขอบคุณแฟนบอลชาวไทยทุกคนที่ดูฟุตบอลกันมาตลอด และผมคิดว่าเขาก็หวังให้ฟุตบอลไทยพัฒนาไปมากกว่านี้ ก็อยากให้แฟนบอลเป็นกำลังใจให้วงการฟุตบอลไปเรื่อยๆ ช่วยกันเชียร์ ช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หวังและตั้งใจทำให้ฟุตบอลไทยพัฒนาและไปถึงจุดหมายที่ทุกคนต้องการครับ” สินทวีชัยฝากบอกทิ้งท้าย
TAG ที่เกี่ยวข้อง