stadium

กฤษดา กาแมน “เราต้องทำงานหนักให้โค้ชเห็น ถึงจะได้รับโอกาส”

10 สิงหาคม 2564

กฤษดา กาแมน “เราต้องทำงานหนักให้โค้ชเห็น ถึงจะได้รับโอกาส”

#ChangsuekAttitude

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand

            

นอกเหนือจากการเป็นทีมฟุตบอลชั้นนำของไทยลีกแล้ว ทีม “ฉลามชล” หรือ สโมสรชลบุรี เอฟซี ยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นอะคาเดมีฟุตบอลที่ปลุกปั้นเยาวชนให้เป็นนักเตะอาชีพมากมาย โดยหนึ่งในผลผลิตที่ชลบุรี เอฟซี อะคาเดมีภาคภูมิใจเห็นจะได้แก่ กฤษดา กาแมน หรือ “และห์” ซึ่งก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกที่นี่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายวัย 13 ปี ผ่านการพัฒนาฝีเท้าในตำแหน่งกองหลังด้วยความมุ่งมั่นและการทำงานหนัก จนก้าวไปติดทีมชาติไทยชุดเยาวชนมาแล้วทุกชุด กระทั่งได้รับโอกาสให้ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของฉลามชลในวัย 18 ปี ซึ่งเขาบอกว่าเป็นวันที่ฝันกลายเป็นจริง และหากใครติดตามข่าวฟุตบอลไทย เมื่อปลายปี 63 ทีมชลบุรี เอฟซี ได้ประกาศต่อสัญญากับ กฤษดา กาแมน จนถึงปี 2570 บ่งบอกอย่างดีว่า “ฉลามชล” ให้ความไว้วางใจนักเตะลูกหม้อรายนี้จนถึงขั้นวางตัวให้เป็นกำลังหลักของทีมในอนาคต

            

1. เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่หัดเดิน 

            

ย้อนชีวิตวัยเด็กของกฤษดา เขาเกิดที่จังหวัดตราด ในครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลาม พ่อคือโค้ชฟุตบอลคนแรกของชีวิตก็ว่าได้

            

“พ่อเล่าให้ฟังว่า เริ่มสอนผมเล่นฟุตบอลตั้งแต่หัดเดินเลยครับ แล้วเวลาพ่อไปเล่นฟุตบอลตามหมู่บ้านที่ไหน ผมจะตามไปด้วยทุกที่ ทำให้ผมชอบเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก”

            

กฤษดาเล่าว่า เขาคลุกคลีเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆ มาตลอดตั้งแต่เรียนชั้นประถม ฝีเท้าดีเข้าขั้นติดทีมโรงเรียน “สมัยเด็กผมเล่นกองกลางตลอด เพราะผมไม่ค่อยชอบเลี้ยงบอล แต่ชอบจ่ายบอล วางบอล และยิงประตูมากกว่า”

            

การได้เล่นฟุตบอลนักเรียนในระดับจังหวัดรายการต่างๆ จนถึงระดับภูมิภาคตะวันออก ชักพาให้เขาได้ลงสนามปะทะแข้งกับทีมชลบุรี เอฟซี อะคาเดมี ซึ่งกลับกลายเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสครั้งสำคัญของกฤษดา

            

“โค้ชของชลบุรีเห็นฟอร์มผม เขามาดึงตัวผมตั้งแต่อายุ 11 ปี แต่พ่อและโค้ชทีมโรงเรียนของผมตอนนั้นไม่ให้ไป บอกว่าถ้าไปก็ยังสู้คนอื่นไม่ได้ ถัดมาเกือบ 2 ปี ทางชลบุรีก็มาดึงตัวผมอีกครั้ง คราวนี้พ่อให้ไป ก็ดีใจครับ ได้ย้ายจังหวัด ไปเจอเพื่อนใหม่ ที่เรียนใหม่”

            

เด็กชายวัย 13 ปีจึงต้องย้ายจากจังหวัดตราดมาเป็นนักเรียนประจำที่โรงเรียนเทศบาลบ้านศรีมหาราชา อ. ศรีราชา ซึ่งขณะนั้นคือโรงเรียนที่เป็นอะคาเดมีของทีมชลบุรี เอฟซี ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนท่าข้ามพิทยาคม

            

ทว่าชีวิตใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องปรับตัวอย่างหนัก “โอ้โห ยากครับ เพราะเพื่อนๆ ที่อะคาเดมีเก่งๆ กันทั้งนั้น แต่ละคนทักษะดี คล่อง ผมยังสู้ไม่ได้เลย”

            

ปลายปีนั้นนับเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เพราะทางอะคาเดมีจะมีการประเมินฝีเท้านักเตะเยาวชนแต่ละคนว่าใครดีพอจะได้ไปต่อ...

            

“พอเขาประกาศชื่อลอตแรกออกมา เพื่อนหลายคนโดนคัดออกครับ ผมน่ะมีชื่อในลอตที่สอง ที่ถ้าฝีเท้าไม่พัฒนาก็จะโดนเหมือนกัน”

            

โชคดียังเป็นของเขา เมื่อโค้ชที่ดูแลอยู่ลองให้กฤษดาเปลี่ยนตำแหน่ง จากกองกลางเป็นเล่นแบ็กขวา แล้วเขาทำได้ดี จึงไม่ถูกตัดรายชื่อออก ก่อนถูกโยกอีกครั้งมาเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แล้วประจำตำแหน่งนี้ในทีมเยาวชนจนถูกดันขึ้นสู่ชุดใหญ่

            

“โค้ชคงจะเห็นว่าผมเคยเล่นกลางมาก่อน จ่ายบอลแม่นอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนมาเล่นข้างหลัง ก็สามารถพลิกเกมได้ เพียงแต่ตอนนั้นเรายังช้าอยู่ ไม่มีความคล่องตัวมากพอจะเล่นตรงกลาง”

            

2. ความมุ่งมั่นและการรู้จักตัวเอง

            

ครั้งหนึ่งกฤษดาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า การขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ เป็นความฝันของเด็กอะคาเดมีทุกคน

            

ชีวิตในรั้วอะคาเดมีฉลามชล การได้ดูรุ่นพี่ทีมชุดใหญ่ลงสนามแข่งขันฟุตบอลไทยลีกแมตช์แล้วแมตช์เล่า มีส่วนหล่อหลอมความคิดฝันของกฤษดาให้มุ่งมั่นอยากเป็นนักเตะอาชีพบ้าง

            

ความฝันของเขาเป็นจริงตอนที่อายุ 18 ปี เมื่อเฮดโค้ชทีมชลบุรีในขณะนั้นคือ “น้าเทิด” เทิดศักดิ์ ใจมั่น ตัดสินใจดันเด็กใหม่อย่างกฤษดาขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ ในไทยลีกฤดูกาล 2018

            

ทว่าการก้าวข้ามจากฟุตบอลนักเรียนไปสู่ลีกสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขา “ยากครับ เพราะว่าขึ้นมาปีแรก ผมเหมือนเป็นน้องของทุกคน เรายังไม่ได้รับโอกาสมาก ได้ลงเล่นกองหลังประมาณ 2-3 นัด ยังสู้ใครไม่ค่อยได้”

            

เมื่อกฤษดามองย้อนกลับไปตอนนั้น เขาพบว่ามันเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ 

            

“คือตอนที่เรายังไม่มีโอกาสได้ลงเล่น บางแมตช์อาจไม่มีชื่อแม้แต่ตัวสำรองด้วยซ้ำ ผมว่าเราต้องมีความคิดหรือมีทัศนคติที่ดี เพราะถ้าเราปล่อย เราท้อ เราไม่เอา ผมว่าเราก็อาจไม่มีโอกาสเลย...”

            

“ถ้าเรายังไม่มีโอกาส ก็ต้องทำงานเพื่อสร้างโอกาสให้มาหาเรา เราต้องทำงานหนักเพื่อให้โค้ชเห็น เราถึงจะได้โอกาสลงสนาม ให้โค้ชเขาเห็นว่าเราพัฒนาขึ้น เห็นว่าเราทำได้ แล้วเดี๋ยวเขาก็ให้โอกาสเรา ผมว่าทุกคนก็เก่งพอๆ กันแหละครับ อยู่ที่ทัศนคติและมุมมองว่าในสถานการณ์แบบนี้ เราควรจะทำยังไงถึงจะดี”

            

ผลของความมุ่งมั่น ทุ่มเททั้งในการฝึกซ้อมและในสนามแข่งขัน พยายามพัฒนาฝีเท้า เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง ทำให้ฤดูกาลต่อมากฤษดาเริ่มได้รับโอกาสลงสนามบ่อยขึ้นเป็นลำดับ ปรับตัวกับจังหวะของฟุตบอลไทยลีกได้ดีขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทัพฉลามชลในปัจจุบัน

            

“ผมว่าอยู่ที่ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ การทำงานหนัก มันช่วยเราได้หลายๆ เรื่อง อีกอย่างหนึ่งเราต้องรู้จักตัวเองด้วย ในความคิดผมนะ ต้องรู้ว่าเราอยู่ตรงจุดไหน แล้วจะพัฒนาต่อยังไง ซึ่งโค้ชทุกคนจะช่วยบอกได้ เช่น เล่นแบบนี้ดี แบบนี้ไม่ดี แล้วควรจะเสริมเพิ่มอะไรบ้าง...”

            

เมื่อถามถึงสไตล์การเล่นที่เป็นจุดเด่นของตัวเอง กฤษดาตอบว่า “ผมมองว่าเรื่องการออกบอล ผมเป็นกองหลังที่สามารถขึ้นเกม หรือพาบอลไปข้างหน้าได้ เพราะตั้งแต่สมัยอยู่อะคาเดมี โค้ชเฮง (วิทยา เลาหกุล) จะเน้นว่า กองหลังต้องขึ้นเกม หรือจ่ายบอลแนวลึกไปให้กองหน้าทำประตูได้ ผมเลยต้องซ้อมแบบนั้นมาตลอด จนฝังในหัวว่าต้องขึ้นเกม ต้องอ่านเกม ซึ่งมันเป็นแนวทางของทีมชลบุรีด้วยที่เน้นการเล่นบอลบนพื้น”

            

กฤษดายังกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญเสมอในการเล่นฟุตบอล ก็คือการทำงานร่วมกับโค้ชนั่นเอง

            

3. ก้าวต่อไปในนามทีมชาติไทย

            

เมื่อ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ก้าวเข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชลบุรี เอฟซี ในช่วงเลกที่ 2 ของไทยลีกฤดูกาล 2019 ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้น เขาเปลี่ยนตำแหน่ง กฤษดา กาแมน ให้ไปเล่นกองกลางตัวรับ เพราะมองว่านักเตะมีจุดเด่นเรื่องการจ่ายบอลที่แม่นยำ

            

โค้ชสะสมเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยให้ความเห็นว่า กฤษดาเป็นนักเตะที่มุ่งมั่นและทำงานอย่างเต็มที่

            

รวมทั้งออกมาแสดงความประหลาดใจ เมื่อมีการประกาศชื่อผู้ติดทีมชาติ 47 ราย ชุดไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แล้วไม่มีชื่อกฤษดาอยู่ด้วย

            

ขณะที่เจ้าตัวให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า “ถามว่าเสียดายมั้ย มันก็มีบ้าง แต่ผมก็รู้ว่าฝีเท้าเราอาจยังไม่ถึง พวกรุ่นพี่เขาเก่งๆ กันทั้งนั้น ทั้งเรื่องความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ ผมรู้อยู่แล้วว่าตัวเองอยู่ตรงไหน”

            

ความจริงที่ผ่านมากฤษดาเคยติดทีมชาติเยาวชนมาแล้วทุกชุด ตั้งแต่รุ่น U16 ไล่มาถึงรุ่น U23 พร้อมประสบการณ์คว้าแชมป์ที่สร้างความภาคภูมิใจ

            

“การได้ติดทีมชาติทำให้ผมประทับใจ มีความสุข และรู้สึกฮึกเหิมตลอดเวลาที่ลงเล่นให้ทีมชาติทุกชุด ผมอยากติดทีมชาติอยู่แล้ว” กฤษดาเผยความรู้สึก

            

“ผมทำงานหนักเหมือนกัน ไม่ว่าเล่นให้ทีมชาติเพื่อคนทั้งประเทศ หรือเล่นให้สโมสรที่ปลุกปั้นเรามา เป็นการเล่นเพื่อผู้ใหญ่ และเพื่อแฟนบอลของทีมที่เชียร์เรามาตั้งแต่เด็กๆ”

            

“ผมพยายามซ้อมให้ดีขึ้นเรื่อยๆ รู้ว่าถ้าจะไปฟุตบอลระดับสูง เราก็ต้องดีขึ้น แข็งแรงขึ้น แล้วก็ต้องพัฒนาหลายๆ อย่าง ทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความเข้าใจเกม รวมทั้งการดูแลตัวเอง”

            

ในปีนี้ (2564) กฤษดา กาแมน เพิ่งมีอายุครบ 22 ปี ยังมีเส้นทางให้ไล่ล่าความสำเร็จอีกยาวไกล เขาจึงถูกมองว่าเป็นนักเตะดาวรุ่งที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทั้งสโมสรต้นสังกัดและทีมชาติไทยในอนาคต


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

โฆษณา