stadium

จตุรพัช สัทธรรม “ผมอยากคว้าโทรฟี่กับทีมชาติไทยให้มากที่สุด”

20 กรกฎาคม 2564

จตุรพัช สัทธรรม “ผมอยากคว้าโทรฟี่กับทีมชาติไทยให้มากที่สุด”

#ChangsuekAttitude

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand

            

บางครั้งดูเหมือนชีวิตก็เล่นตลกกับเรา อย่างเช่นตอนที่ “แม็ก” จตุรพัช สัทธรรม ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่จังหวัดระยอง เช้าวันนั้นเขากำเงินแม่เตรียมไปเล่นเกมร้านประจำแถวบ้าน แต่มีรุ่นพี่มาชวนเข้ากรุงเทพฯ ไปเป็นเพื่อนเพื่อคัดตัวเป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา ตอนแรกเขาอิดออดเพราะอยากเล่นเกม สุดท้ายยอมไปด้วย พ่อรุ่นพี่คนนั้นยุให้เขาลงสนามไปคัดตัว เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ผลปรากฏว่า แม็กกลับเป็นคนที่ถูกเลือกโดย “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ขณะที่รุ่นพี่ของเขาคัดตัวไม่ติด กลายเป็นจุดพลิกผันของชีวิตที่ส่งให้จตุรพัชเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ผ่านประสบการณ์เล่นฟุตบอลนักเรียน กระทั่งเตะตาแมวมองจนถูกดึงตัวเข้าสังกัดทีมฟุตบอลไทยลีก แล้วก้าวขึ้นมาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรก ซึ่งเป็นความฝันของเขามาตั้งแต่เด็ก และไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงเร็วขนาดนี้

 

จากเด็กดื้อไปเป็นเด็กวัด แล้วไปคัดตัวที่กรุงเทพฯ

            

เมื่อมองย้อนกลับไปตอนที่เป็นเด็กน้อย จตุรพัชยอมรับว่าเขาเป็นเด็กดื้อ ขณะอยู่กับปู่ย่าที่บ้านเกิดจังหวัดขอนแก่น เพราะพ่อแม่ไปทำงานที่จังหวัดระยอง

            

“ชาวบ้านแถวนั้นเขาก็ว่าผมดื้อ ตอนอยู่ ป.3 อายุ 9-10 ขวบ ผมเริ่มกลับบ้านค่ำ คนเฒ่าคนแก่เขาก็เป็นห่วง แต่ผมไม่สนใจ ดื้อรั้น ไปเตะบอลกับเพื่อนรุ่นพี่ ทุ่มนึงกว่าจะเข้าบ้าน โดนปู่ย่าดุ ผมจะคลุกกับเพื่อนรุ่นพี่ที่โตกว่า เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันจะเข้าบ้านเร็ว เขาเชื่อฟังผู้ใหญ่กัน”

            

เขายังเล่าความท้าทายในวัยเด็กให้ฟังอีกว่า “คือบ้านนอกบ้านผมจะมีการเดิมพัน ผมไปเตะบอลกับพวกรุ่นพี่ เขาวางเงินกัน 10-20 บาท เรามีตังค์ 2-3 บาท ปู่กับย่าให้ไว้กินขนม ผมก็ไปลงกับเขา พอชนะได้เงินมาก็ไปซื้อขนมกับน้ำอัดลมมาแบ่งกันกิน”

            

กระทั่งแม็กอยู่ชั้น ป.5 พ่อกับแม่กลัวว่าปู่ย่าจะดูแลไม่ไหว จึงตัดสินใจมารับเด็กชายไปอยู่ระยอง แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะเขาถูกส่งไปอยู่วัดน้ำคอก ฝากฝังกับหลวงพ่อให้อบรมบ่มนิสัย

            

“พวกรุ่นพี่หรือเพื่อนที่อยู่วัดด้วยกัน ส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรือติดเกมบ้าง พอมาอยู่กับหลวงพ่อ เหมือนท่านเอาอยู่” จตุรพัชเล่าถึงชีวิตเด็กวัด “ไปอยู่วัดตอนแรก ผมร้องไห้ อยากกลับบ้าน มันอยู่ไม่ได้ ไม่เคยอยู่แบบนี้มาก่อน แต่ไม่ถึงเดือนก็เริ่มปรับตัวได้ เริ่มสนุก ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อน เช้าตื่นมาเดินตามหลวงพ่อไปบิณฑบาต ท่านให้พวกเราทำอะไรด้วยตัวเองทุกอย่าง แต่ละวันมีเวรทำงาน เช่น กลุ่มนี้ล้างจาน กลุ่มนี้กรอกน้ำ กลุ่มนี้ไปตากผ้า ถ้าใครทำผิดก็โดนลงโทษ ใครทะเลาะชกต่อยกัน หลวงพ่อก็เอานวมให้ใส่ชกกัน ผมก็เคยมาแล้ว หรือตอนกลางคืนใครไม่ยอมนอน ก็โดนให้ไปนั่งสมาธิอยู่หน้าเมรุ ผมไปอยู่วัดได้หนึ่งปี ก็ได้อะไรหลายๆ อย่างที่หลวงพ่อสอน ดัดนิสัยให้เราเป็นคนดีครับ”

            

ข้อดีของการอยู่วัดนี้ก็คือ หลวงพ่อชื่นชอบฟุตบอล ท่านจึงสนับสนุนเด็กวัดให้ได้ฝึกซ้อม และส่งทีมเข้าแข่งขันฟุตบอลเยาวชนรายการต่างๆ ของจังหวัด 

            

ฝีเท้าของจตุรพัชชักเริ่มโดดเด่นเกินเพื่อน จนถูกดึงตัวไปเข้าเรียนที่โรงเรียนอนุบาลระยอง ซึ่งขึ้นชื่อเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาฟุตบอลอันดับต้นของระยอง

            

เมื่อเรียนจบชั้น ป.6 กำลังจะขึ้นชั้นมัธยม จตุรพัชตระเวนไปคัดตัวกับโรงเรียนดังภาคตะวันออกอย่าง อัสสัมชัญศรีราชา และโรงเรียนชลราษฎรอำรุง แต่ต้องผิดหวัง แล้วกลับมาเรียนที่ระยองตามเดิม

จตุรพัช สัทธรรม (คนที่ 4 จากซ้าย แถวล่างสุด)

            

ก่อนจะถึงเช้าวันนั้นที่พลิกชีวิตครั้งสำคัญ มาถึงวันนี้จตุรพัชยังคิดเลยว่า ถ้าตอนนั้นเขาตัดสินใจไปเล่นเกม แทนที่จะเข้ากรุงเทพฯ กับเพื่อน ก็ไม่รู้ว่าชีวิตทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร

            

“วันนั้นผมจำได้เลย ผมขอตังค์แม่จะไปเล่นเกม เพื่อนรุ่นพี่ขับมอเตอร์ไซค์มาบ้านผม บอกว่า มึงไปกรุงเทพฯ กับกูหน่อย จะไปคัดตัวที่ประเทืองทิพย์ ผมบอกกูไม่ไป กรุงเทพฯ มันไกล กูจะไปเล่นเกม... แต่มันขอร้องจนผมยอมไป เพราะพ่อมันเคยเป็นโค้ชสอนบอลผมด้วย”

            

พ่อของเพื่อนขับรถพาพวกเขาไปถึงสถานที่คัดตัวตั้งแต่ 7 โมงเช้า จตุรพัชเล่าว่า

            

“พอไปถึงปุ๊บ เขาประกาศว่าคนที่เกิดปีเดียวกับผม คือปี 42 ให้คัดตัวได้ ทั้งที่ในเว็บฯ ไม่ได้บอกไว้ ผมไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย ต้องยืมสตั๊ดของพ่อเพื่อนที่ติดรถไว้ใส่ลงไปคัด โอเค คิดว่าลองดู กลายเป็นว่าโค้ชโต่ยมาคัดผมเอง วันนั้นวันเดียว แกเลือกผมเลย”

            

ขณะที่เพื่อนรุ่นพี่ไม่ผ่านการคัดตัว จตุรพัชกลับเป็นผู้ถูกเลือก ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา ซึ่งเป็นอะคาเดมีของสโมสรโอสถสภาฯ ในขณะนั้น โดยมีโค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย เป็นผู้ดูแล

 

ครูฟุตบอลคนสำคัญ

            

“ผมคิดว่าตัวเองมารู้จักฟุตบอลจริงๆ จากโค้ชโต่ยนี่แหละครับ”

            

จตุรพัชระลึกเสมอว่า โค้ชโต่ย ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย คือครูคนสำคัญที่บ่มเพาะศาสตร์ลูกหนังและปลุกปั้นจนเขาสามารถก้าวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพในวันนี้

            

ตั้งแต่วันที่เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าจากระยองเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ จตุรพัชพักอาศัยร่วมกับเพื่อนๆ ในหอที่แคมป์ทีมเยาวชนโอสถสภา ย่านสายไหม และฝึกซ้อมฟุตบอลกับโค้ชโต่ยมาตั้งแต่เรียนชั้น ม.2 กระทั่งจบชั้นมัธยมปลาย

            

“โค้ชโต่ยสอนทุกอย่างครับ ทั้งเรื่องในสนามและนอกสนาม ถ้าเป็นเรื่องฟุตบอล ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง วิธีเล่นที่ถูกต้อง ทำให้เราพัฒนาขึ้นมาก แล้วแกยังสอนเรื่องวินัยและวิธีคิดด้วย อะไรไม่ดีแกจะบอกหรือมีบทลงโทษ ตอนนั้นผมก็ยังเด็ก อย่างนอนดึกหรือไม่ยอมนอน ก็ถูกจับมาวิ่งตอนเที่ยงคืน”

            

“ตอนนั้นผมยังเล่นปีกซ้าย ตำแหน่งเดียวกับโค้ชโต่ยเลย ตอนคัดตัวแกคงชอบการเล่นของผม คือผมเป็นปีกที่เลี้ยงบอลไม่เป็น แต่ชอบจ่ายบอล ทั้งจ่ายขนานเส้น หรือแทงทะลุช่องให้เพื่อนยิงประตู แต่ยังด้อยเรื่องการครอสบอล แกก็มาปรับปรุงเรื่องนี้ให้ผม”

“โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย

            

ช่วงเวลานั้นจตุรพัชได้ผ่านประสบการณ์ลงแข่งฟุตบอลนักเรียนและคว้าแชมป์ร่วมกับทีมได้หลายรายการ ฝีเท้าของเขาพัฒนาขึ้นจนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนมาทาบทามให้ไปเข้าเรียน เพื่อลงเล่นฟุตบอลจตุรมิตร สามัคคี 

           

“ผมไปอยู่กรุงเทพคริสเตียน ตอน ม.5 ได้เล่นฟุตบอลจตุรมิตร เป็นฟุตบอลนักเรียนที่คนดูเยอะมาก ตื่นเต้นครับ ลงไปตอนแรกทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เราตื่นคนดู แต่ก็สนุก ได้ประสบการณ์ที่ดี ผมลงเล่นทุกแมตช์ ปีนั้นคริสเตียนได้รองแชมป์ แพ้โรงเรียนอัสสัมในนัดชิง”

           

ฟุตบอลรายการนี้ยังมอบโอกาสสำคัญแก่เขา หลังจบการแข่งขันมีแมวมองจากทีมไทยลีกมาทาบทามจตุรพัชถึงสองสโมสร

           

เวลานั้นเขาต้องตัดสินใจว่า อยากไปเป็นนักเตะของทีมชัยนาท ฮอร์นบิล หรือราชบุรี มิตรผล

 

การเป็นนักเตะไทยลีกไม่ใช่เรื่องง่าย

            

“ตอนนั้นผมมองว่าราชบุรีเป็นทีมใหญ่ ถ้าไปทีมชัยนาท น่าจะมีโอกาสลงสนามมากกว่า” จตุรพัชให้เหตุผลในการเลือกไปอยู่ทีมนกใหญ่พิฆาต ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในไทยลีก

            

ก่อนหน้านั้นขณะที่ยังเรียนอยู่กรุงเทพคริสเตียน และเล่นให้กับสโมสรบีบีซี ในไทยลีก 4 จตุรพัชถูกโยกมายืนเป็นแบ็กซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ลงตัวกับเขามาถึงปัจจุบัน

            

อย่างไรก็ตามการเล่นฟุตบอลในลีกสูงสุดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กใหม่อย่างเขา

            

“ช่วงไปชัยนาทปีแรก (ฤดูกาล 2018) แทบไม่ได้เล่นครับ บอลนักเรียนกับบอลไทยลีกมันคนละอย่างกันเลย โค้ช (เดนนิส อมาโต) ลองให้ผมลงเล่นนัดหนึ่ง เจอทีมชลบุรี เรียบร้อยพี่ เล่นไม่ได้ โดนปีกชาวบราซิลเลี้ยงหลอก แตะบอลลอดขาผมบ้าง โดนเปลี่ยนออกตั้งแต่ครึ่งแรก”

            

หลังจากนั้นเขาถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นให้กับทีมอุบล ยูเอ็มที โดยการคุมทีมของเฮดโค้ชญี่ปุ่น ซูกาโอะ คัมเบะ ซึ่งให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งอย่างเขาลงสนามมากขึ้น

            

“เหมือนโค้ชคัมเบะอยากลองใช้ผมด้วย ผมไปอยู่ทีมอุบลครึ่งเลก ได้ลงเล่น 6-7 แมตช์ ก็เริ่มจับจังหวะการเล่นไทยลีกได้ ว่าเราต้องออกบอลให้ไวกว่าเดิม ต้องรีบไปซับพอร์ตเพื่อนร่วมทีมให้เร็วกว่าเดิม แล้วที่ผมมั่นใจขึ้นมา เพราะทำประตูแรกในไทยลีกได้ นัดที่อุบลพบทีมสุพรรณบุรี”

            

ในฤดูกาล 2019 จตุรพัชหวนกลับไปที่ชัยนาทพร้อมความมั่นใจที่มากกว่าเดิม ประจวบกับแบ็กซ้ายเบอร์ต้นของทีมบาดเจ็บ เปิดช่องให้เขาได้ประเดิมสนามและทำผลงานได้ดี เดนนิส อมาโต จึงมอบความไว้ใจให้เขาได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ 

            

ฤดูกาลนั้นจบลงโดยจตุรพัชลงสนามให้ทีมนกใหญ่พิฆาต 26 นัด ทำได้ถึง 3 ประตู โดยหนึ่งในนั้นเป็นการทำประตูทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จากลูกยิงไกลนอกกรอบเขตโทษอย่างเฉียบขาด ส่งให้เจ้าบ้านอย่างชัยนาทชนะบุรีรัมย์ไป 2-1 ประตู

            

จากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ทำให้ในปีนั้นจตุรพัชมีรายชื่อติดทีมชาติ U23 อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น สโมสรใหญ่ของไทยลีกอย่างการท่าเรือก็ให้ความสนใจมาซื้อตัวเขาไปร่วมทีมในฤดูกาล 2020

 

โอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่คือความฝันที่เป็นจริง

            

ในเดือนเมษายน 64 เมื่อจตุรพัชรู้ว่าตนเองมีชื่อถูกเรียกตัวติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในรายการฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย เขาดีใจถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มันเป็นความฝันของเขาตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง แต่ไม่คิดว่าฝันจะเป็นจริงเร็วขนาดนี้ ในวันที่เขามีอายุ 22 ปี

            

ยิ่งหากมองย้อนไปตอนต้นฤดูกาล 2020 ที่จตุรพัชเพิ่งย้ายมาอยู่ทีมการท่าเรือซึ่งเต็มไปด้วยนักเตะซูเปอร์สตาร์ ความกดดันและการแข่งขันภายในทีมสูง จนเขาถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองแค่นัดเดียวในเลกแรก ก่อนถูกปล่อยยืมตัวให้กับทีมสมุทรปราการ ซิตี้ ซึ่งก็ไม่ได้ลงเล่นเลยแม้แต่นัดเดียว ยังดีที่ในเลกสอง เมื่อเขากลับสู่ทีมต้นสังกัด โค้ชอู๊ด สระราวุฒิ ตรีพันธ์ ให้โอกาสลงสนาม และจตุรพัชสามารถเร่งฟอร์มจนขึ้นมาเป็นตัวจริงให้ทีมการท่าเรือได้ในช่วงท้ายฤดูกาล จนได้รับความสนใจจากโค้ชทีมชาติไทย อากิระ นิชิโนะ

            

“พอประกาศรายชื่อมา เราติดทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรก เฮ้ย เป็นไปได้ไง มันกลั้นน้ำตาไม่อยู่ คือเราเคยฝันไว้ เคยมองดูรุ่นพี่ติดทีมชาติชุดใหญ่ มันเป็นเกียรติมากของนักฟุตบอล”

            

“ก็ดีใจครับ ที่เราได้ไปเป็นส่วนหนึ่ง ถึงไม่ได้ลงเล่นก็ไม่เป็นไร แค่ไปอยู่ตรงนั้น ผมว่าเป็นกำไรมากแล้ว พวกพี่ๆ นักเตะทีมชาติหลายคน เรายังดูเขาในโทรทัศน์เมื่อปีก่อนๆ อยู่เลย แต่วันนี้ได้มาฝึกซ้อมกับพวกเขาแล้ว รุ่นพี่เขาเก่งทุกคน ไม่แปลกใจทำไมเป็นตัวหลักในทีมชาติ ผมเองก็พยายามศึกษา ดูวิธีการเล่นของแต่ละคนว่าทำยังไง ก็ได้เรียนรู้เยอะครับ ผมคิดเสมอว่าอยากพัฒนาตัวเองให้ได้เหมือนพวกพี่ๆ”

            

ถึงแม้การไปเยือนประเทศยูเออี เมื่อเดือนมิถุนายน จตุรพัชยังไม่ได้ลงสนามในการแข่งขันรอบคัดเลือกทั้งสามนัด นอกจากการประเดิมทีมชาติไทยชุดใหญ่ในแมตช์อุ่นเครื่องกับทีมชาติทาจิกิสถาน แต่สิ่งที่สำคัญมันทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจมุ่งมั่นอยากกลับมาติดทีมชาติอีกในวันข้างหน้า

            

“การที่เราไม่ได้ลงในแมตช์แข่งขัน ผมยอมรับว่าฝีเท้าเราอาจยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็เหมือนเป็นแรงจูงใจของเราว่า วันนี้กูได้มาแล้ว ไม่เป็นไร เรามาเรียนรู้ วันหน้าเราต้องได้มาอีก คิดไว้เสมอว่า วันหน้าต้องขึ้นมาเล่นให้ได้ ที่ผ่านมาผมก็พัฒนามาทีละสเต็ป ก้าวต่อไปที่ผมฝันไว้ก็คือ ได้ลงแข่งอย่างเป็นทางการกับทีมชาติชุดใหญ่ ทำผลงานให้ดีและได้ถ้วยรางวัล ผมอยากคว้าโทรฟี่กับทีมชาติชุดใหญ่ให้มากที่สุด”

            

จตุรพัชคิดว่าตัวเขามาได้ไกลแล้วบนเส้นทางฟุตบอล จากที่เคยเป็นแค่เด็กวัดต่างจังหวัดคนหนึ่ง

            

“ส่วนหนึ่งเพราะผมเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมแพ้ ผมสู้ด้วยตัวเองมาตั้งแต่เด็กแล้ว อย่างตอนอยู่ที่วัด หรือเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เราต้องสู้กับตัวเอง ตื่นแต่เช้าเพื่อไปเรียน ไปซ้อมฟุตบอล มันคือหน้าที่ของเรา ถ้าทำไม่ได้มันก็จบ สิ่งเหล่านี้มันฝังในตัวผมมาตั้งแต่เด็ก ฟุตบอลเป็นสิ่งที่เรารัก ผมอยากอยู่กับมัน และไปให้ไกลที่สุด”

            

เขากล่าวย้ำว่า “ผมยังอยากไปให้ไกลกว่านี้ ผมไม่หยุดแค่นี้แน่นอน”


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

โฆษณา