12 กรกฎาคม 2564
ในวงการฟุตบอลนั้นจะมีผู้เล่นที่ถูกเรียกว่านักเตะสารพัดประโยชน์ เพราะเล่นได้สารพัดตำแหน่ง และมักทำได้ดีในทุกหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เช่น เจมส์ มิลเนอร์ ของลิเวอร์พูล ซึ่งแจ้งเกิดในตำแหน่งปีกกับทีมลีดส์ ยูไนเต็ด แล้วเปลี่ยนมาเล่นมิดฟิลด์กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก่อนย้ายมาสู่ทีมหงส์แดง มักลงเล่นแบ็กซ้ายในระยะหลัง ขณะที่ในวงการฟุตบอลไทยก็มีหลายคนได้ชื่อเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ โดยรายหนึ่งที่โดดเด่นในปัจจุบันคือ “ดิว” ภานุพงศ์ พลซา นักเตะหนุ่มจากทีมชลบุรี เอฟซี ที่เคยผ่านการค้าแข้งมาแล้วไม่ว่าในตำแหน่งปีก แบ็ก กองกลาง แม้แต่กองหน้า จนเจ้าตัวออกปากว่า ไม่เคยเล่นแค่เซ็นเตอร์แบ็กและผู้รักษาประตูเท่านั้น และที่สำคัญคือ ภานุพงศ์บอกว่ารู้สึกสนุกและท้าทายกับทุกตำแหน่งที่เล่น เพราะมันทำให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ
บ้านเกิดของภานุพงศ์อยู่ที่จังหวัดเลย พ่อของเขาเป็นนักฟุตบอลจังหวัด ในวัยเด็กเขาติดตามไปดูพ่อลงแข่งฟุตบอลอยู่เสมอ และยังจำได้ดีว่าตัวเองเริ่มเล่นบอลตั้งแต่ยังเด็กมาก อายุ 3 ขวบเท่านั้น พ่อเป็นโค้ชคนแรกก็ว่าได้ สอนพื้นฐานต่างๆ ให้เขาเช่นการแปบอล เลี้ยงบอล
“ผมตามไปดูพ่อแข่งบอลแล้วก็ชอบฟุตบอลไปโดยปริยายครับ พ่อสอนฟุตบอลให้ผม คือไม่ได้เล่นแบบเล่นๆ แต่เริ่มจริงจังตั้งแต่เด็ก อย่างเวลามีแข่งกีฬาอนุบาล ผมก็ไปแข่งบอล”
ดิวเล่าว่าเขาเล่นฟุตบอลโรงเรียนมาตลอดในช่วงเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาที่บ้านเกิด กระทั่งชีวิตเปลี่ยนเมื่อได้รู้ข่าวว่าโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา กำลังเปิดคัดตัวนักฟุตบอล...
“พอดีได้ดูหนังสือพิมพ์แล้วรู้ข่าวครับ ผมมีป้าอยู่ที่ชลบุรีด้วย หลายอย่างมันประจวบเหมาะกัน เราก็ลองมาคัดดู” ภานุพงศ์เล่าให้ฟัง “ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตำแหน่งกองหน้า แต่พอจบ ป.6 เริ่มชอบเล่นกองกลาง ก็เลยมาคัดตัวกับอัสสัมฯ ศรีราชา ในตำแหน่งกองกลาง”
เมื่อเขาผ่านการคัดตัว ได้เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นที่อัสสัมชัญศรีราชา ต้องจากบ้านมาอยู่หอพักนักกีฬาของโรงเรียน ก็ไม่ได้รู้สึกว่ายากลำบากในการปรับตัวสักเท่าไร ความคิดถึงบ้านมีบ้าง แต่รู้สึกสนุกกับการเล่นฟุตบอลมากกว่า
“มาอยู่ที่อัสสัมฯ ได้เล่นฟุตบอลตลอดเลยครับ แล้วก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง จากที่เมื่อก่อนเราเล่นฟุตบอลแบบเด็กทั่วไปตามต่างจังหวัด ไม่ได้จริงจังเข้มข้น หรือไม่มีรูปแบบการฝึกที่ถูกต้อง พอได้เข้ามาอยู่ที่อัสสัมฯ มันก็โอเค ได้พัฒนาตัวเองเยอะมาก หลักๆ ก็คือมีความเข้าใจเกมมากขึ้น จากเดิมที่เราพอได้บอล ก็เลี้ยงๆๆ ไปยิงประตู แต่ไม่รู้วิธีเล่นร่วมกับเพื่อน อะไรประมาณนี้”
สมัยนั้นโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา นอกจากได้ชื่อเป็นมหาอำนาจลูกหนังขาสั้นแล้ว ยังเป็นอะคาเดมีของสโมสรชลบุรี เอฟซี อีกด้วย
“ในตอนนั้นทีมชลบุรีฯ มาใช้สนามเหย้าที่โรงเรียนครับ และอัสสัมฯ ก็เป็นอะคาเดมีของทีมด้วย เราก็เลยมีเป้าหมายจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ อยากเล่นให้ทีมชลบุรีฯ ตั้งแต่เด็ก แล้วพอจบชั้น ม.5 จะขึ้น ม.6 ก็ได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะของทีมชลบุรีฯ โอ้โห! ตอนนั้นดีใจมากครับ”
จากจุดเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลอาชีพในวันนั้น ทีมชลบุรี เอฟซีส่งภานุพงศ์ไปเล่นให้กับทีมพานทอง เอฟซี ในดิวิชัน 2 ด้วยสัญญายืมตัว เมื่อปี 2556 ต่อจากนั้นเขาถูกยืมตัวมาเล่นให้สโมสรไทยลีกอย่าง ทีโอที เอสซี ของโค้ชสมชาย ทรัพย์เพิ่ม
ต้นปี 2560 ภานุพงศ์ถูกปล่อยยืมตัวอีกครั้งไปสู่ทีมใหญ่อย่างบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทว่าในช่วงกลางปีนั้นเอง ชลบุรี เอฟซีก็ดึงตัวเขากลับ นับจากนั้นภานุพงศ์มีโอกาสลงเล่นช่วยทีมอย่างสม่ำเสมอมาถึงปัจจุบัน
“การย้ายไปหลายสโมสร มันทำให้เราได้เรียนรู้ เพราะได้เจอโค้ชที่แตกต่างกัน โค้ชแต่ละคนจะมีความละเอียดไม่เหมือนกัน มีรูปแบบการเล่นและการฝึกซ้อมไม่เหมือนกัน ก็ทำให้เราได้พัฒนาในด้านที่ตอนอยู่ทีมเดิมไม่เคยเจอ”
นอกจากนั้นระหว่างเล่นให้แต่ละทีม ภานุพงศ์มักได้รับมอบหมายให้เล่นในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
“ผมเคยเล่นทั้งแบ็กซ้าย แบ็กขวา ปีกซ้าย ปีกขวา กองกลาง และกองหน้าก็เล่นมาแล้ว คือเล่นมาเกือบทุกตำแหน่งครับ ยกเว้นประตูกับเซ็นเตอร์ฯ”
เมื่อถามว่าความสามารถในการเล่นฟุตบอลหลากหลายตำแหน่งมาได้อย่างไร เขาเผยว่า “เวลาโค้ชให้เราเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งที่ไม่เคยเล่น ผมชอบครับ การเล่นฟุตบอลหลายตำแหน่ง ทำให้ผมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้วผมคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ต่อทีมนะ เพราะจะทำให้เกมมีความยืดหยุ่น โค้ชสามารถปรับเกมได้หลากหลายมากขึ้น”
ภานุพงศ์ยังบอกอีกว่า “จุดเด่นของผมน่าจะเป็น การเล่นเป็นทีม หรือเล่นให้เข้ากับระบบ ผมชอบการส่งบอลหรือประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม เวลาส่งให้เพื่อนยิงประตูได้ แฮปปี้กว่ายิงเอง (หัวเราะ) แต่ถ้ายิงเองได้ก็โอเคครับ มีความสุขเหมือนกัน”
สำหรับผลงานกับต้นสังกัดปัจจุบันคือทีมชลบุรี เอฟซี นับตั้งแต่เขาย้ายกลับมาจากทีมบุรีรัมย์ ภานุพงศ์ก็พยายามทำงานหนัก มุ่งมั่นฝึกซ้อม กระทั่งได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงต่อเนื่อง
“คงเป็นเพราะตอนเด็กๆ ผมอยู่กับอะคาเดมีของโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ก็เน้นการเล่นฟุตบอลกับพื้น พอมาเล่นกับทีมชลบุรีในไทยลีก ก็เล่นบอลกับพื้น บอลเท้าสู่เท้า ไม่เน้นการโยนยาว ก็เลยเป็นแนวทางที่เข้ากันได้ครับ”
“ส่วนผลงานของทีมชลบุรีในไทยลีกฤดูกาลที่ผ่านมา (2020/21) เราจบอันดับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขณะที่ฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ แม้ทะลุถึงรอบชิง ก็ยังไม่ได้แชมป์ แต่ถ้ามองทีมชุดปัจจุบันที่มีดาวรุ่งขึ้นมา และสามารถเล่นได้ ช่วงแรกอาจต้องเรียนรู้กับนักเตะรุ่นพี่ๆ ก็คิดว่าในอนาคตทีมเราน่าจะทำดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ”
นอกเหนือจากการโลดแล่นไปบนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ ที่พยายามช่วยสโมสรต้นสังกัดทำผลงานในลีกให้ดีที่สุด อีกด้านของชีวิตนักเตะ ภานุพงศ์ก็มีความภาคภูมิใจที่เคยลงสนามในนามทีมชาติไทย
สมัยเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ภานุพงศ์เคยติดทีมชาติไทยชุด U16 มาแล้ว หลังจากนั้นว่างเว้นมานาน กระทั่งก้าวมาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ ภายใต้โค้ชอากิระ นิชิโนะ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2563 เขาเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติไทยที่ลงแข่งอุ่นเครื่องกับทีมไทยลีกออลสตาร์ ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยภานุพงศ์ทำผลงานได้ดีในการเล่นเป็นตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้าย ทั้งการลากเลี้ยงกินตัว การจ่ายบอล ประสานงานกับเพื่อน ทั้งยังทำประตูได้ในนาทีที่ 65 ซึ่งเป็นประตูแรกในนามทีมชาติของเขาอีกด้วย
กระทั่งล่าสุดในปีนี้ ภานุพงศ์มีรายชื่อติดทีมชาติไทยยุคฝ่าโควิด บินไปสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 ที่ประเทศยูเออี ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
“ช่วงแรกเราต้องกักตัวอยู่ในห้อง ซ้อมจากวิดีโอ ก็อึดอัดครับ เพราะเราเป็นนักฟุตบอล ก็อยากอยู่กับฟุตบอล ไม่ใช่ซ้อมในห้อง ตอนอยู่เมืองไทยเราไม่ได้ซ้อมกันเลย กว่าจะมาซ้อมจริงๆ ก็มาที่ยูเออีแล้ว”
อย่างไรก็ตามภานุพงศ์เผยว่าเขารู้สึกดีใจมากตั้งแต่รู้ว่ามีรายชื่อตนเองถูกเรียกเข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติ กระทั่งได้ไปยูเออี แม้ไม่ได้ลงแข่งขันรอบคัดเลือกทั้งสามนัด แต่ก็นับเป็นประสบการณ์มีค่าที่ได้มีโอกาสลงซ้อมกับรุ่นพี่และเพื่อนในทีมชาติไทย และได้ลงแข่งนัดอุ่นเครื่องกับทีมชาติทาจิกิสถาน
“ตอนเราเล่นให้สโมสร ก็เจอแต่เพื่อนร่วมทีมที่เราซ้อมด้วยกันมาตลอด พอเรามาอยู่ในทีมชาติ สำหรับผมมันเป็นอีกสเต็ปหนึ่ง เพราะทุกคนที่มาเก่งหมด เป็นตัวท็อปของแต่ละสโมสร เราได้มาเจอแบบนี้ ก็ทำให้อยากพัฒนาตัวเองให้เทียบเท่ากับคนอื่นๆ แล้วการได้ลงแมตช์อุ่นเครื่องกับทีมทาจิกิสถาน ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีครับ เพราะเราได้เจอนักเตะต่างชาติที่ฝีเท้าดีๆ”
ประสบการณ์ในทีมชาติยังผลักดันให้เขามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาฝีเท้าตัวเอง เพื่อที่จะได้กลับมาติดทีมชาติไทยอีกในอนาคต
“แน่นอนมันเป็นความฝันของนักฟุตบอลทุกคนอยู่แล้ว ผมเองก็อยากติดทีมชาติทุกชุด” ภานุพงศ์กล่าว “และถ้าเราอยากทำให้ได้ หรือประสบความสำเร็จในการเล่นฟุตบอล ก็ต้องมุ่งมั่นทุ่มเท แล้วอยู่ในระเบียบวินัย อยู่ในลู่ทางที่ควรจะเป็น ไม่งั้นคนเก่งๆ คนอื่นจะแซงเราไปตลอดเวลา เพราะมีเด็กใหม่ๆ เก่งๆ ขึ้นมาทุกๆ ปี ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองต่อไป อยู่กับที่ไม่ได้”
ด้วยแนวคิดดังกล่าวของภานุพงศ์ เชื่อว่าดาวเตะสารพัดประโยชน์รายนี้ยังมีเส้นทางให้ก้าวเดินไปเก็บเกี่ยวความสำเร็จอีกยาวไกล
TAG ที่เกี่ยวข้อง