10 กรกฎาคม 2564
“เดอะ แรบบิท” คือหนึ่งเดียวจาก 4 สโมสรสัญชาติไทยที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2021 แม้จะเหลือโปรแกรมที่ต้องลงฟาดแข้งกับ อุลซาน ฮุนได อีก 1 เกมในรอบแบ่งกลุ่มก็ตาม นี่คือบททดสอบต่อไปที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ต้องก้าวผ่านไปให้ได้เพื่อทำให้ทุกสายตาในเอเชียได้เห็นว่าพวกเขาสามารถทะลุมาตรฐานของทีมจากอาเซียนได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ศึกฟุตบอลสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียรายการนี้ยังมีความท้าทายอีกมากที่รออยู่ และก้าวต่อไปในรอบน็อคเอาท์ ACL 2021 ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร มีอะไรที่น่าจับตามองบ้าง ไปวิเคราะห์พร้อมกันครับ…
ก่อน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2021 จะเริ่มฟาดแข้ง แฟนบอลชาวไทยต่างมีความหวังกับการเห็นสโมสรจากไทยผ่านเข้าสู่รอบลึกๆ ในรายการนี้ เนื่องจากมีหลายปัจจัยเอื้ออำนวย ไม่ว่าจะเป็นสนามแข่งขันที่หากไม่นับ เชียงรายฯ ที่ต้องเดินทางไปยัง อุซเบกิสถาน สามทีมที่เหลือทั้ง ราชบุรี มิตรผล เอฟซี, การท่าเรือ เอฟซี และบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ต่างลงเล่นในประเทศไทยทั้งหมด
เช่นเดียวกับตัวนักเตะที่ต่างทีมต่างพยายามเสริมแข้ง “คุณภาพ” ทว่าล่าสุดจาก 4 ทีม เหลือเพียงทีมเดียวที่ได้สิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป นั่นก็คือ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หลังผ่าน 5 เกม “เดอะ แรบบิท” ทำสถิติ ชนะ 4 แพ้ 1 เก็บได้ 12 คะแนน เป็นรองเพียง อุลซาน ฮุนได แชมป์เก่ารายการนี้เมื่อปีที่แล้วเพียงทีมเดียวในกลุ่ม เอฟ
ยิ่งไปกว่านั้นยังทำสถิติเป็นสโมสรที่ 4 จากไทยที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ได้สำเร็จ ต่อจาก บีอีซี เทโรศาสน หรือชื่อปัจจุบันคือ โปลิศ เทโร เอฟซี ที่จบในฐานะรองแชมป์ (ปี 2002-03), บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย (ปี 2013) และรอบ 16 ทีมสุดท้าย (ปี 2018) ตลอดจน เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ผ่านเข้าถึงรอบ 16 ทีมสุดท้าย (ปี 2017)
สถิติดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากความมุ่งมั่นของนักฟุตบอล สตาฟฟ์โค้ช และวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ทำงานร่วมกันได้ถูกทาง โดยเฉพาะการดึงนักเตะที่เป็นคีย์แมนสำคัญ เช่น ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ และ ธีรศิลป์ แดงดา มาในช่วงซีซั่นที่ผ่านมา จนเป็นส่วนสำคัญพาทีมมาได้ไกลถึงรอบน็อคเอาท์ ACL 2021 ได้สำเร็จ
#เดอะแรบบิททำให้เห็นว่ามาตรฐานไทยลีกไม่ได้ด้อยกว่าทีมจากอาเซียน
หากไม่นับ ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม ยอดทีมจากมาเลเซีย ที่สื่อหลายสำนักยกว่าก้าวข้ามผ่านมาตรฐานอาเซียนสู่ระดับเอเชียได้แล้วนั้น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด คือสโมสรจากไทยที่ทำให้เห็นว่าสโมสร “แชมป์ไทยลีก” มีมาตรฐานการเล่นที่สู้กับทีมจากอาเซียนได้สบาย
4 เกมที่พวกเขาฟาดแข้งกับตัวแทนจากอาเซียนในกลุ่ม เอฟ อย่าง เวียตเทล (แชมป์ลีกเวียดนาม) และ คายา เอฟซี อิโลอิโล (รองแชมป์ลีกฟิลิปปินส์) บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เก็บได้ 12 แต้มเต็ม ด้วยสถิติโดยรวมที่เหนือกว่าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, ความแม่นยำในการผ่านบอล, โอกาสยิง รวมถึงประตูที่ทำได้ซึ่งหากนับเฉพาะสี่เกมดังกล่าว บีจีพียู ถล่มยิงไปถึง 10 ประตู หากนับเป็นค่าเฉลี่ยก็มากถึง 2.5 ประตูต่อเกม และเสียไปเพียง 2 ประตู คิดเป็นค่าเฉลี่ยก็เสียเพียง 0.5 ประตูต่อเกม ทั้งๆ ที่ เวียตเทล มีนักเตะดีกรีทีมชาติเวียดนามอยู่ในทีมมากถึง 5 คน ขณะที่ คายาฯ ก็มีนักเตะทีมชาติฟิลิปปินส์รวมถึงแข้งต่างชาติฝีเท้าดีหลายคน
อย่างไรก็ตาม 2 คู่แข่งที่กล่าวไปอาจไม่ใช่สโมสรที่เป็น “เต้ย” เเห่งอาเซียน จึงพูดได้เพียงว่า “ไม่ด้อยกว่า” เพราะบทพิสูจน์ในเวทีอาเซียนที่วัดประสิทธิภาพของ “เดอะ แรบบิท” ได้จริงคงหนีไม่พ้นการฟาดแข้งกับ ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม ยอดทีมแห่งมาเลเซีย ที่จะโชว์คำตอบให้เห็นว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มีมาตรฐานเหนือกว่าทีมจากอาเซียนจริงหรือไม่...
หลังจากที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ประกาศรายชื่อขุนพลสู้ศึกเอซีแอลครั้งนี้ เรียกได้ว่า “คุณภาพ” ทุกตำแหน่ง ไล่มาตั้งแต่ ผู้รักษาประตูดีกรีทีมชาติไทยอย่าง ฉัตรชัย บุตรพรม ที่รายการนี้เพิ่งเสียไปเพียง 4 ประตู รวมถึงการโชว์เซฟ 15 จาก 19 ครั้งที่ถูกยิงตรงกรอบตลอด 5 เกมแรก
นอกจากนี้เขาคือผู้รักษาประตูที่ออกบอลจากเท้าได้ดี ทำให้คู่แข่งไม่สามารถฉวยโอกาสโจมตีพวกเขาจากข้อผิดพลาดหน้ากรอบเขตโทษได้ ขณะที่ระบบหลัง 3 ครั้งนี้ของ บีจีฯ แม้จะไม่มี อิรฟาน ฟานดี้ ประจำการกับ อันเดรส ตูเญซ และ วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะไม่ว่าจะเป็น ชาตรี ฉิมทะเล หรือ ปิยะชนก ดาฤทธิ์ ก็สามารถทดแทนได้ชนิดไร้ร้อยต่อ ขณะที่แดนกลางก็ยังมี สารัช อยู่เย็น ที่เพิ่งทำประตูชัยในเกมล่าสุดกับ คายา เอฟซีฯ เล่นร่วมกับ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ - เควิน อินเกรโซ่ โดยมีวิงแบ็คพลังม้าอย่าง สันติภาพ จันทร์หง่อม และ ยอดรักษ์ นาเมืองรักษ์ ขนาบข้าง
ขณะที่คู่กองหน้าอย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ กับ ธีรศิลป์ แดงดา ที่ซัดรวมกันไปแล้ว 5 ประตู จาก 5 เกมแรก ไม่จำเป็นต้องแบกความหวังซัดประตูกันเพียง 2 คน เพราะ บีจี คือทีมจากไทยที่นักเตะช่วยกันทำประตูได้มากที่สุดถึง 6 คน หากไม่นับ ดิโอโก้ และ ธีรศิลป์ ก็ยังมี เชาว์วัฒน์ (ยิง 2 ประตู), ฐิติพันธ์, ตูเญซ และสารัช ที่ช่วยกันยิงอีกคนละ 1 ประตู
นัดส่งท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม เอฟ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด จะได้แก้มือกับ อุลซาน ฮุนได เจ้าของแชมป์ เอซีแอล 2020 อีกครั้ง หลังเกมแรกพ่ายด้วยสกอร์ 0-2 ชนิดที่สู้ได้ แม้ยอดทีมจากเคลีกทีมนี้จะมีแข้งทีมชาติเกาหลีใต้ถึง 5 ราย ได้แก่ โจ ฮยอน วู นายทวารที่เสียไปเพียง 1 ประตูจาก 5 เกมในทัวร์นาเมนท์นี้, คิม แต ฮวาน แบ็คขวา, ฮอง ซุล แบ็คซ้าย, วอน ดู แจ และ อี ดง คยอง กองกลาง รวมถึงศูนย์หน้าตัวเก่งทีมชาติออสเตรียอย่าง ลูคัส ฮินเตอร์เซียร์ ที่ยิงไปแล้ว 4 ประตูจาก 5 นัด เพราะหากมองสถิติโดยรวมจากเกมแรก บีจีพียู สู้ได้แบบไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีแม้แต่น้อย ไล่มาจากเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่ “เดอะ แรบบิท” ครองบอลได้ถึง 49 เปอร์เซ็นต์ สร้างโอกาสยิงทั้งหมด 11 ครั้ง (น้อยกว่า อุลซานฯ 1 ครั้ง) จ่ายบอลสำเร็จ 75 เปอร์เซ็นต์ (น้อยกว่า อุลซานฯ 2 เปอร์เซ็นต์)
จากนี้เหลือเพียงอย่างเดียวที่เป็นรองอย่างชัดเจนในเกมแรกคือความคมในการจบสกอร์ ซึ่งอาจเป็นจุดชี้ขาดสำคัญว่า จะได้ 3, 1 หรือ ไม่มีแต้มติดมือในเกมนี้ อย่างไรก็ตามหาก “เดอะ แรบบิท” เก็บได้สัก 1 แต้มเป็นอย่างน้อย จะสะท้อนคุณภาพให้รู้แล้วว่า “นับจากนี้ไม่ว่าจะเจอใครพวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัว” หากสู้กับแชมป์เก่าปี 2020 ได้ แล้วทีมอื่นทำไม บีจี ปทุมฯ จะสู้ไม่ได้…
แล้วเรามาดูกันครับว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด จะยัดเยียดความปราชัยให้กับ อุลซาน ฮุนได ในแมตช์สำคัญนัดส่งท้ายรอบแบ่งกลุ่มได้หรือไม่ เรามาร่วมส่งกำลังใจให้ “เดอะ แรบบิท” ในฐานะตัวแทนจากไทยลีกไปพร้อมๆ กันครับ
TAG ที่เกี่ยวข้อง