stadium

รังสรรค์ วิรุฬห์ศรี“เมื่อลงสนาม ผมพยายามช่วยทีมให้มากที่สุด”

4 กรกฎาคม 2564

รังสรรค์ วิรุฬห์ศรี “เมื่อลงสนาม ผมพยายามช่วยทีมให้มากที่สุด”

#ChangsuekAttitude

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand

 

เท่าที่ผ่านมาชื่อของ “กอล์ฟ” รังสรรค์ วิรุฬห์ศรี นักเตะของทีมชลบุรี เอฟซี อาจไม่เป็นที่คุ้นหูของแฟนบอลทั่วไป เท่ากับชื่อของบรรดาตัวรุกดาวเด่นหรือนักเตะซูเปอร์สตาร์ไทยลีกรายอื่น อาจเป็นด้วยบทบาทของกอล์ฟตั้งแต่เล่นฟุตบอลอาชีพผ่านมากับหลายทีม ไม่ว่าสโมสรบีอีซี เทโรฯ, ปตท. ระยอง, ราชนาวี, สุโขทัย เอฟซี, ตราด เอฟซี และล่าสุดกับทีมฉลามชล เขามักรับหน้าที่กองกลางตัวรับ ยืนอยู่หน้าแผงกองหลัง ทำงานในลักษณะปิดทองหลังพระ หรือนักเตะผึ้งงานที่ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อทีม อาศัยจุดเด่นที่มี ได้แก่ ความแข็งแกร่ง แรงปะทะ การเข้าบอลหนักหน่วง วิ่งสู้ฟัดเพื่อหยุดเกมรุกของคู่แข่ง แย่งบอลมาให้ได้ แล้วจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีม รังสรรค์จึงนับเป็นนักเตะคุณภาพที่โค้ชหรือเพื่อนนักเตะเห็นว่ามีเขาอยู่ในทีมแล้วอุ่นใจอย่างแน่นอน

 

รังสรรค์เป็นคนจังหวัดนครสวรรค์ ขณะที่นักฟุตบอลอาชีพหลายรายมีพ่อที่เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน แต่พ่อของเขาเป็นนักกีฬากอล์ฟ ตรงนี้หลายคนคงเดาได้แล้วว่าทำไมรังสรรค์จึงมีชื่อเล่นว่า “กอล์ฟ” และในวัยเด็กเขาต้องไปออกรอบตีกอล์ฟกับพ่อเป็นประจำอีกด้วย 

 

“พ่อชอบเล่นกอล์ฟครับ ตอนเด็กๆ ผมก็ตีกอล์ฟกับพ่อ” รังสรรค์เล่า “พอโรงเรียนเลิกเราเตะบอลกับเพื่อน แล้วกลับมาตีกอล์ฟกับพ่อ จนถึงตอนที่อายุสิบขวบต้นๆ พ่อก็เริ่มซีเรียส เพราะการตีกอล์ฟมันเสียเงิน ต้องจริงจัง เราก็เริ่มไม่ค่อยสนุกครับ เตะบอลกับเพื่อนสนุกกว่า”

แล้วเมื่อถึงวันต้องตัดสินใจ เด็กชายกอล์ฟก็เลือกเอาดีกับฟุตบอล นอกจากพ่อไม่ว่าแล้วยังพาเขาไปฝึกซ้อมฟุตบอลกับโรงเรียนกีฬาประจำจังหวัดด้วย ประจวบกับมีอะคาเดมีฟุตบอลชื่อดังในขณะนั้นอย่าง เจเอ็มจี อะคาเดมี มาเปิดคัดตัวในโซนภาคเหนือ ที่จังหวัดนครสวรรค์ 

 

รังสรรค์ตัดสินใจไปร่วมคัดตัว แล้วก็ไม่ผิดหวัง หลังจากนั้นเด็กชายจึงหอบกระเป๋าเสื้อผ้าและรองเท้าสตั๊ดย้ายจากบ้านเกิด ไปเป็นนักเตะฝึกหัดและใช้ชีวิตกินนอนอยู่ที่เจเอ็มจี อะคาเดมี จังหวัดชลบุรี

 

“ตอนนั้นก็ได้เรียนรู้เรื่องฟุตบอลอย่างจริงจัง มันเป็นรูปแบบการฝึกซ้อมที่มาจากฝรั่ง จากโค้ชชาวต่างประเทศ เราก็ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน เติบโตที่นั่น แล้วก็ได้เรียนรู้ทัศนคติและวินัยของฝรั่ง เพราะที่นั่นมีโค้ชและเพื่อนนักเตะต่างชาติมาอยู่ด้วย ก็ได้เห็นว่ามันมีความจริงจังในการซ้อมนะ ต้องไม่เหยาะแหยะ ซึ่งปลูกฝังให้เราจริงจังกับการเล่นฟุตบอลตั้งแต่ตอนนั้น”

 

“คือตอนแรกผมไปอยู่กับเพื่อนคนไทยก่อน ประมาณสัก 4 เดือนต่อมาค่อยมีเพื่อนเด็กต่างชาติเข้ามาเสริม ซ้อมวันแรกๆ พวกก็สไลด์เสียบใส่เราเลย จริงจังมาก... แต่เราก็ไม่โมโห แค่งงๆ ว่า เฮ้ย อะไรวะ”

 

รังสรรค์เล่าต่อว่าในวัยเด็กเขามักเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองกลาง หลังจากนั้นพอเข้ามาที่เจเอ็มจี อะคาเดมี ก็ถูกโค้ชปรับไปเล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ กระทั่งเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพ ก็กลับมารับบทบาทมิดฟิลด์อีกครั้งหนึ่ง

“ผมเริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสรแรกคือ บีอีซี เทโรศาสน ตอนนั้นอายุ 19 ปี ก็ได้ขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ แล้วเรายังตัวเล็ก ผอมบาง รูปร่างไม่ได้ตันแบบตอนนี้ โค้ชคงเห็นว่าไม่เหมาะกับการเล่นเซ็นเตอร์ฯ ก็เลยถูกเลื่อนขึ้นมาเล่นกองกลาง แล้วด้วยคาแรกเตอร์ของเราที่เล่นมาเรื่อยๆ จะมาทางตัวรับมากกว่า ทุกวันนี้ยิ่งชัด เรื่องการเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ มีหน้าที่หลักตัดเกมคู่แข่ง”

 

นับจากแจ้งเกิดในอาชีพนักฟุตบอลกับบีอีซี เทโรศาสน หลังจากนั้นรังสรรค์ผ่านการย้ายทีมไปเล่นให้หลายสโมสร เขากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

 

“ความท้าทายเวลาย้ายทีมคือ เราต้องไปเจอเพื่อนร่วมทีมใหม่ๆ เจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆ รวมทั้งโค้ชด้วย เราก็ต้องรีบปรับตัวให้เข้ากับทีมใหม่ให้ไวที่สุด เพราะแต่ละทีมจะมีคาแรกเตอร์หรือสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน”

 

รวมทั้งการย้ายทีมครั้งล่าสุด เมื่อทีมชลบุรี เอฟซี ประกาศคว้าตัว รังสรรค์ วิรุฬห์ศรี จากสุโขทัย เอฟซี มาร่วมทัพฉลามในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา

อาจเป็นเรื่องที่โชคชะตาลิขิตไว้... เพราะหากย้อนกลับไปในปี 2550 ขณะนั้นรังสรรค์ในวัย 15 ปียังเป็นนักเตะฝึกหัดของเจเอ็มจี อะคาเดมี เขาและเพื่อนๆ ในอะคาเดมียกโขยงเข้าไปชมเกมในสนามแข่ง วันที่ทีมชลบุรี เอฟซีสามารถคว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกของสโมสรได้อย่างยิ่งใหญ่ และยังจำได้ดีถึงบรรยากาศวันนั้น แฟนบอลเต็มอัฒจันทร์ เสียงเชียร์ดังกระหึ่มจนเขารู้สึกขนลุกและร่วมดีใจไปด้วย โดยที่ขณะนั้นไม่คิดเลยว่าจะได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทัพฉลามชลอย่างทุกวันนี้

 

“ชลบุรีเป็นทีมที่ดีนะครับ ด้วยรูปแบบการซ้อม และสไตล์การเล่น” รังสรรค์พูดถึงทีมต้นสังกัดปัจจุบัน “เมื่อผมย้ายมาอยู่ที่นี่ อันดับแรกเลยคือพยายามเร่งฟอร์มของตัวเองให้ดีขึ้น และปรับการเล่นให้เข้ากับระบบของทีม เพื่อที่จะช่วยทีมให้มากที่สุด”

 

แน่นอนว่าบทบาทของรังสรรค์ในทีมฉลามชล ยังคงทำหน้าที่กองกลางตัวรับ ยืนปักหลักหน้าแผงกองหลังเพื่อคอยทำลายหรือสกัดเกมรุกของคู่แข่ง

 

“สไตล์การเล่นของผมค่อนข้างเป็นแบบฮาร์ดแมน คือดุดันครับ จะเข้าบอลถึงลูกถึงคนนิดหนึ่ง” รังสรรค์กล่าว “อย่างนักเตะตัวรุก เขาสามารถสร้างสรรค์เกมหรือทำสกอร์ให้ทีมได้ เราไม่ได้มีจุดเด่นตรงนั้น ก็เอาข้อดีของตัวเองมาช่วยทีม คือสมรรถภาพร่างกายที่ดี ขยันวิ่ง เรื่องแรงปะทะผมก็ไม่กลัวใคร และการยิงไกล คือเราเอาข้อดีของเราไปช่วยเพื่อน ผมคิดว่าทุกครั้งเมื่อลงสนาม ผมพยายามช่วยทีมให้มากที่สุด พยายามวิ่ง ช่วยเพื่อนทุกคนที่อยู่รอบๆ เรา เพราะไม่อยากแพ้ อยากให้ทีมทำผลงานดีที่สุด”

            

รังสรรค์ยังเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้ทีมในไทยลีกมักเลือกใช้งานกองหน้าหรือตัวรุกที่เป็นนักเตะต่างชาติรูปร่างสูงใหญ่ มีทั้งความเร็ว ความแข็งแรง และเทคนิคจัดจ้าน หน้าที่ของเขาจึงต้องพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือนักเตะเหล่านั้นให้ได้

            

“สมัยนี้นักฟุตบอลพัฒนาขึ้นเยอะครับ ฝีเท้าดีๆ ทั้งนั้น ผมก็พยายามพัฒนาตัวเองอยู่ทุกๆ วัน อยากอ่านเกมให้ได้มากขึ้น แล้วก็เรื่องการตัดสินใจหลายๆ อย่าง เช่น การสกัดหรือแย่งบอลจากคู่แข่งให้แม่นยำขึ้น” เขากล่าว

            

“แล้วชลบุรีเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลแบบเท้าสู่เท้า เน้นการครองบอลเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ผมเล่นเป็นกลางรับ แต่ก็ต้องมีส่วนในการครองบอลและเชื่อมเกม ไม่ใช่ทำลายเกมคู่แข่งอย่างเดียว ซึ่งผมก็เรียนรู้เรื่องนี้อยู่ พยายามปรับตัวเองเข้ากับระบบของทีม ซึ่งคิดว่าต่อไปก็น่าจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

            

บทพิสูจน์คำกล่าวของรังสรรค์ อาจดูได้จากผลงานของชลบุรี เอฟซี ในช่วงเลกสองของไทยลีกฤดูกาล 2020/21 ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งในขุมกำลังที่ช่วยทีมเร่งทำคะแนนหนีตกชั้นได้สำเร็จ รวมทั้งในฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ 2020 รังสรรค์ก็เป็นหนึ่งในขุนพลที่ช่วยกันพาทีมฉลามชลทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ 

บางคนในวงการฟุตบอลไทยเคยให้ความเห็นว่า รังสรรค์ วิรุฬห์ศรี ดูจะเป็นนักเตะที่ “under rate” หรือถูกให้คุณค่าต่ำกว่าความเป็นจริง

            

ตัวรังสรรค์เองยังเคยออกปากว่า สำหรับเขาแล้วการติดทีมชาติอาจเป็นเรื่องไกลตัวจนไม่อยากเอ่ยถึงเท่าไร

            

อย่างไรก็ตามทุกวันนี้รังสรรค์ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป ไม่ว่าความแข็งแกร่งของร่างกาย ทักษะฝีเท้า การอ่านเกม เตรียมพร้อมลงสนามแข่งด้วยทัศนคติของการเล่นเพื่อทีม

           

 รวมทั้งให้ความสำคัญกับการมีวินัยดูแลรักษาสุขภาพ เพื่อที่จะยืนระยะเล่นฟุตบอลที่เขารักให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

La Vie en Rose