stadium

ชีวิตที่ต้องสู้ของ "เก่งบ้านบะขาม" นักตะกร้อเดินสายที่ดังสุดในเมืองไทย

4 กรกฎาคม 2564

หากพูดถึงชื่อนักกีฬาตะกร้อที่ชื่อ “บุญคุ้ม ทิพวงศ์” เชื่อว่าใครๆหลายคนก็คงน้อยคนที่จะรู้จัก แต่แท้จริงแล้วนี่คือชื่อจริงของนักตะกร้อที่คนวงการต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีสำหรับ “เก่ง บ้านบะขาม” นักตะกร้อเดินสายที่มีลีลาการเล่นที่เร้าใจ ดุดัน และเป็นหนึ่งในนักตะกร้อที่ถูกยกให้เป็นเบอร์หนึ่งในวงการตะกร้อเดินสาย แต่เส้นทางของเจ้าตัวที่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ด้วยต้นทุนของฐานะที่มีน้อยกว่าใคร คือเชื้อไฟที่ทำให้เขาผลักดันตัวเอง ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ตะกร้อ” เพื่อต่อโอกาสตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

 

 

 

เริ่มต้นช้าก็ต้องวิ่งให้เร็วกว่าคนอื่น

 

เด็กน้อยที่เติบโตในครอบครัวชาวไร่ชาวนา ที่ อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ไม่ได้มีความฝันอะไรเลยกับกีฬา เขาเล่นเพื่อความสนุกตามพี่ชาย และไม่ได้วาดฝันอะไรไว้มากนัก การเล่นเพื่อความสนุกคือสิ่งเดียวที่เขารู้สึกกับลูกพลาสติกกลมๆนี่เอง

 

“ผมเกิดในครอบครัวชาวนาครับ พ่อแม่ทำนา เกิดมาก็ไม่ได้มีความสะดวกสบายอะไร จะไปโรงเรียนก็ต้องปั่นจักรยานเก่าๆ”

 

“กับกีฬาตะกร้อผมก็เล่นเพื่อความสนุก ไม่ได้จริงจังอะไรมาก แต่เริ่มมาอยู่กับมันมากขึ้นในช่วงอายุ 15 ปี เพราะเริ่มรู้สึกชอบมากขึ้น แต่เหตุผลสำคัญที่ผมอยากจะเอาดีกับกีฬานี้ คือ ด้วยความที่บ้านค่อนข้างยากจน สิ่งเดียวที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นได้ ก็คือกีฬา และตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะเล่นตะกร้อให้เก่งกว่าเดิมให้ได้ และจะใช้ตะกร้อเป็นสิ่งที่สร้างโอกาสในชีวิตให้ดีกว่าเดิม”

 

“ตอนนั้นพ่อแม่ผมไม่มีเงิน แต่ได้เห็นพี่ๆแถวบ้านเขาเล่นตะกร้อกันแล้วก็ได้เงิน มีอนาคตที่ดี ตอนนั้นผมก็ตั้งเป้าหมายในใจเลยว่า จะใช้ตะกร้อนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ก็ฝึกซ้อมเรื่อยมาจนได้เล่นทีมโรงเรียนบ้านละหานนา และได้เป็นตัวแทนของอำเภอแวงน้อยเข้ามาแข่งกีฬาสพฐ.ระดับจังหวัด ในตัวเมืองขอนแก่น”

 

“ตอนนั้นพ่อแม่ผมไม่มีเงิน แต่ได้เห็นพี่ๆแถวบ้านเขาเล่นตะกร้อกันแล้วก็ได้เงิน มีอนาคตที่ดี ตอนนั้นผมก็ตั้งเป้าหมายในใจเลยว่า จะใช้ตะกร้อนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ก็ฝึกซ้อมเรื่อยมาจนได้เล่นทีมโรงเรียนบ้านละหานนา และได้เป็นตัวแทนของอำเภอแวงน้อยเข้ามาแข่งกีฬาสพฐ.ระดับจังหวัด ในตัวเมืองขอนแก่น และตอนนั้นฟอร์มของผมก็ไปเข้าตา อ.ต่อ เมธี สีละพัฒน์ แห่งบ้านบะขาม ที่ทำทีมตะกร้อรร.ขอนแก่นวิทยายน2 และถือเป็นทีมที่มีชื่อเสียงของจังหวัด”

 

แม้จะเริ่มต้นช้า แต่ไม่ได้หมายความว่าความฝันของ “เก่ง” จะลดลง และในวัย 15 ปี เขาเองได้มาเจอโอกาสที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล เมื่อเขาเองเรียนจบชั้นม.3 ที่บ้านเกิด และได้รับการชักชวนของสองพี่น้องอย่าง อ.ต่อ เมธี เเละอ.ต้น โยธิน สีละพัฒน์ ที่เป็นเจ้าของค่ายตะกร้อบ้านบะขาม ชักชวนเจ้าตัวให้มารวมทีม และแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่รีรอที่จะตอบตกลงที่จะมาฝากชีวิตในเส้นทางตะกร้อไว้ที่นี่

 

 

 

“มาอยู่ที่นี่ลำบากนะ จะอยู่ได้หรือเปล่า”

 

“นี่คือคำชักชวนของ อ.ต่อ เมธี ที่พูดเปิดใจกับผมในตอนนั้น อาจารย์ท่านบอกว่ามาอยู่ที่นี่ไม่ได้สบายเหมือนกับที่อื่นนะ แต่ถ้าใจรักก็อยากให้มาอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นผมก็พูดกับตัวเองว่า ตอนอยู่ที่บ้านผมก็ลำบากอยู่แล้ว มันคงไม่มีอะไรที่เราต้องกลัว และตอนนั้นผมตั้งใจแน่วแน่เลยว่าสิ่งเดียวที่ผมจะทำ คือ เล่นตะกร้อเก่งให้ได้ และจะไม่ให้อะไรมาเป็นอุปสรรค”

 

แม้จะชื่อว่า "เก่ง" แต่ในตอนนั้นไม่ได้เก่งเหมือนชื่อ เขาเองมาฝึกตะกร้อที่บ้านบะขามด้วยทักษะอันน้อยนิด เดาะตะกร้อได้เพียงไม่กี่ครั้งก็ตก จากภาพฝันที่อยากจะเอาดีเรื่องตะกร้อ กลายมาเป็นภาพที่เขาต้องวาดให้ชัดก่อนว่า "จะเล่นตะกร้อได้ดีกว่านี้อย่างไร" 

 

“ผมเริ่มจากการเดาะตะกร้อไม่กี่ครั้งก็ตกพื้น ตอนนั้นหนักไปทางวิ่งเก็บตะกร้อมากกว่า แต่ผมถอยหลังไม่ได้ ตอนนั้นคือซ้อมหนักมากๆ ตื่นเช้าตี 5 มาวิ่ง แล้วก็มาต่อด้วยการเดาะตะกร้อขาขวา 1 พันครั้ง ขาซ้าย 1 พันครั้ง และทักษะอื่นๆที่ต้องทำทุกวัน”

 

 

จากหลักหน่วยสู่หลักสิบ จากหลักสิบสู่หลักร้อย จากหลักร้อยสู่หลักพัน "เก่ง" ใช้เวลาทั้งหมดที่มีในแต่ละวันฝึกซ้อมตะกร้อแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่หากเทียบกับเด็กๆคนอื่นๆ ในช่วงวัยเดียวกัน กับช่วงอายุ 16-17 ปี เขายังเป็นนักตะกร้อปลายแถวที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร ไม่มีผลงานใดๆ 

 

“ตอนอายุ 16-17 ปี ผมก็พอเล่นได้บ้าง แต่เวลาไปแข่งก็ยังแพ้คนอื่นๆ แต่ทุกครั้งที่แพ้ สิ่งเดียวที่ผมทำคือ กลับมาซ้อมให้มากกว่าเดิม ทำให้ดีกว่าเดิม”

 

“ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เน้นแข่งตะกร้อในสนามแข่งขันจริงจัง แต่จะเน้นไปเดินสายเตะตามสนามต่างๆ ในรูปแบบเตะเดี่ยวกัน แต่ตอนนั้นก็เหมือนเดิมไปแข่งที่ไหนก็แพ้ตลอด เหมือนเป็นหมูในอวยที่เวลาไปสนามไหนเขาก็เรียกลงไปเตะ เพราะรู้ว่าเอาชนะเราได้แน่ๆ”

 

“ตอนนั้นยิ่งแพ้ผมยิ่งซ้อม แพ้เสร็จกลับมาซ้อมเช้าเที่ยงเย็น ซ้อมทุกวันไม่มีพัก บางครั้งก็ซ้อมคนเดียวเพราะเรามาขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่สามารถหาเงินกับมันได้ ผมก็ต้องพยายามต่อไป”

 

 

 

แชมป์ประเทศไทย

 

จากเด็กที่ไม่ได้มีพรสวรรค์เหมือนใคร แต่ความที่หัวใจของ “เก่ง” พร้อมจะสู้กับทุกอุปสรรคที่เข้ามา ความพยายามที่ไม่เคยลดลงทำให้เจ้าตัวพัฒนาฝีมือจนเริ่มได้ลงแข่งขันมากขึ้น และแม้ว่าจะพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ความพยายามก็ได้พาเขาไปสู่ความสำเร็จในที่สุด หลังจากที่ผนึกกำลังกับเพื่อนร่วมทีมพาทีมตะกร้อแห่งค่ายบ้านบะขาม จ.ขอนแก่น คว้าแชมป์ถ้วยพระราชทาน ม.ว.ก. ครั้งที่ 40 ประจำปี 2561 

 

“ในตอนที่ได้แชมป์ประเทศไทยตอนนั้นก็ดีใจมากครับ มันเหมือนเราเริ่มได้ผลตอบแทนของความพยายาม แต่หลังจากนั้นสิ่งที่ผมคิดคือ ทำยังไงผมจะเก่งกว่าเดิม ผมจะไม่หยุดแค่ตรงนี้ เพราะมันเป็นแชมป์รุ่นอายุ 20 ปี มันเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น ผมจะต้องไปให้ไกลกว่านี้”

 

หลังจากสร้างชื่อด้วยพาทีมบ้านบะขามคว้าแชมป์ระดับประเทศไทยได้สำเร็จ ชื่อของ “เก่ง บ้านบะขาม” ถูกจับตามองมากขึ้น แม้จะประสบความสำเร็จในสังเวียนสนามระดับประเทศ แต่เจ้าตัวที่เลือกเส้นทางการเดินสายเตะชิงเงินรางวัล ก็ยังต้องได้รับการพิสูจน์ จากวันที่เล่นตะกร้อเดินสายตอนที่อยู่ จ.ขอนแก่น ได้เงินเพียงไม่กี่พัน แต่เขากำลังจะมีโอกาสคว้าเงิน 5 หมื่นบาท ในการเล่นตะกร้อเพียงแค่เซตเดียว

 

 

“หลังจากที่เริ่มสร้างชื่อจากการได้แชมป์ประเทศไทย อีกเส้นทางที่ผมยังเดินต่อคือการเดินสายเตะตะกร้อล่าเงินรางวัล ในตอนนั้นทุกครั้งที่ลงสนามไป ใจผมก็กังวลว่าคนที่มาเป็นผู้สนับสนุนเราเขาจะแพ้ จะเสียเงิน บางครั้งมันก็ทำให้เรากดดัน แต่เขาก็บอกมาว่าทำให้เต็มที่ไม่ต้องคิดมาก ถ้าแพ้ก็แค่ไปซ้อมแล้วมาสู้ใหม่ มันเลยทำให้เราสนุกกับมันมากขึ้น”

 

“และผมมีโอกาสได้ลงเตะตะกร้อเดี่ยวชิงเงินรางวัลรวมในสนามตอนนั้น 1 ล้านบาท แบ่งเป็นการวางเงินฝั่งละ 5 แสนบาท โดยสปอนเซอร์บอกกับผมว่า ถ้าผมชนะเขาจะแบ่งเงินให้ 10 % ก็เป็นเงิน 5 หมื่นบาท”

 

“ตอนนั้นก็รู้สึกกดดันพอสมควร เพราะกลัวแพ้แล้วสปอนเซอร์จะเสียเงิน แต่พอลงสนามตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรแล้วนอกจากเต็มที่กับเกมส์การแข่งขัน และเมื่อแต้มสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะ ภาพของพ่อและแม่ผมคือสิ่งแรกที่เข้ามาในหัว ผมจะเอาเงิน 5 หมื่นนี้ไปให้ท่าน เอาไปบอกท่านว่า สิ่งที่ผมตัดสินใจจะสู้ในวันนั้นมันเริ่มสำเร็จแล้ว ผมสามารถหาเงินจากการเล่นตะกร้อได้จริงๆแล้ว”

 

ในค่ำคืนนั้นถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของวงการตะกร้อเดินสายของไทย ที่มีแฟนตะกร้อกว่าพันชีวิตแห่ไปชมเกมส์ตะกร้อเดี่ยวกันระหว่าง "เก่งบ้านบะขาม" กับ "นาวิน KBP" ที่นอกจากจะแน่นขนัดไปด้วยผู้ชมแล้ว เงินรางวัลที่ชิงกันยังเป็นยอดเงินที่ไม่เคยมีมาก่อนถึง 1 ล้านบาทในการแข่งขันเพียงแมทซ์เดียวเท่านั้น

 

 

ฝันที่ยังรอคอยของ "เก่ง บ้านบะขาม"

 

ในวัย 23 ปี "เก่ง" กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว "ทิพวงศ์" แม้จะพิสูจน์ตัวเองได้ในเวทีตะกร้อเดินสาย แต่สิ่งที่เขายังฝันไว้คือการได้รับราชการเป็นตำรวจ ที่เป็นความหวังครอบครัว

 

“ความฝันตอนนี้ผมก็อยากจะรับราชการเป็นตำรวจ เพราะครอบครัวผมก็อยากจะมีลูกชายรับราชการ จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตอนนี้ก็เริ่มมีโอกาสแล้วเพราะได้รับการทาบทามมาจากสโมสรตำรวจ แต่ในตอนนี้ผมก็พยายามสร้างผลงานให้กับเขาให้ได้ก่อน”

 

“ส่วนความฝันสูงสุดของนักตะกร้อทุกคนแน่นอนว่าการติดทีมชาติไทย แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ผมจะต้องดีกว่านี้ เก่งกว่านี้ให้ได้ เพราะถ้าเราจะไปยืนอยู่จุดนั้นได้เรายังต้องพิสูจน์อะไรอีกมาก แต่คำเดียวที่ผมยังท่องมาจนถึงวันนี้ คือ ท้อได้แต่ห้ามถอย ผมยังพร้อมสู้เหมือนกับวันแรกที่ผมฝึกเล่นตะกร้อ ผมยังอยากจะเก่งกว่านี้ และเมื่อโอกาสมาถึง ผมจะคว้ามันไว้ให้ได้”


stadium

author

ศิรกานต์ ผาเจริญ

StadiumTH Content Creator // ผู้ก่อตั้งเพจสนามตะกร้อ

La Vie en Rose