stadium

กรกช วิริยอุดมศิริ “ทีมชาติไทยต้องเริ่มสร้างตั้งแต่รุ่นเด็ก”

17 มิถุนายน 2564

กรกช วิริยอุดมศิริ

“ทีมชาติไทยต้องเริ่มสร้างตั้งแต่รุ่นเด็ก”

โดย ช้างศึก x Play Now Thailand

 

ในช่วงระยะเวลา 2 ปีมานี้ กรกช วิริยอุดมศิริ มักตกอยู่ในตำแหน่งตัวสำรองของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยไม่ค่อยมีโอกาสลงสนามบ่อยครั้งนัก กระทั่งในช่วงไทยลีกปิดฤดูกาลล่าสุด ก็มีข่าวการย้ายตัวของเขาจากทีมปราสาทสายฟ้า ไปสู่ต้นสังกัดใหม่อย่าง “ช้างเผือก” เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ทีมน้องใหม่ของไทยลีก 1 นั่นหมายความว่าแบ็กซ้ายมากประสบการณ์วัย 33 ปีรายนี้ยังได้โลดแล่นในลีกสูงสุดของไทย เชื่อว่าเมื่อศึกไทยลีก 1 ฤดูกาล 2021/22 เปิดฉาก เราคงได้เห็นกรกชลงสนามบ่อยครั้ง และโชว์ฝีเท้าที่โดดเด่นทั้งการเปิดบอลและการยิงฟรีคิกที่แม่นยำ

 

กรกช หรือ “มิ้ง” เป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ เขาเกิดในครอบครัวนักกีฬา พ่อเป็นนักมวย ชกทั้งมวยไทยและมวยสากล ในวัยเด็กมิ้งจึงชอบเล่นกีฬาหลายประเภท

เมื่อถามว่าทำไมไม่เป็นนักมวยแบบพ่อ เขาตอบว่า “ตอนเด็กก็เคยซ้อมมวยอยู่ครับ เกือบจะขึ้นชกบนเวทีอยู่แล้ว พอดีญาติพี่น้องมาห้าม เขาบอกว่าพ่อลำบากคนเดียวก็พอ คือใช้ร่างกายหากิน ชกต่อยมวย ร่างกายมันก็โทรม ไม่อยากให้เราลำบากแบบนั้น ผมเลยไม่ได้เป็นนักมวย แต่กีฬาอื่นๆ ผมชอบหมดครับ”

 

ในวัยเด็กเขายังเอาดีกับกีฬาปิงปอง และไปไกลถึงได้รองแชมป์จังหวัด แต่ถึงที่สุดเขาพบว่าตัวเองไม่ชอบกีฬาประเภทเดี่ยว แต่สนุกกว่าเมื่อไปรวมกลุ่มวิ่งเล่นเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ กลายเป็นความรักชอบจนคิดจะเอาจริงกับกีฬาลูกหนัง

 

“ในสมัยนี้มีอะคาเดมีเปิดสอนฟุตบอลอยู่ในทุกจังหวัด ทุกอำเภอ เด็กเดี๋ยวนี้จึงเล่นฟุตบอลเก่งเร็ว เพราะเขาได้รับแบบฝึกที่ถูกต้อง” กรกชเปรียบเทียบให้ฟัง “แต่อย่างรุ่นผมไม่มีใครมาสอนแบบนี้หรอก ครูพละทิ้งบอลให้ลูกเดียว อ่ะ แย่งกันเล่น ถ้าใครยิงหนักก็ไปเล่นกองหน้า ใครวิ่งเร็วเล่นปีก ใครเตะแรงก็เล่นกองหลัง แล้วเด็กต่างจังหวัดถ้าอยากเล่นฟุตบอลต่อ ก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ ไปคัดตัว เรียนไปด้วยเล่นฟุตบอลไปด้วย แต่ข้อดีคือมันทำให้เรามีใจสู้”

หลังเรียนจบชั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนที่บ้านเกิด กรกชเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาคัดตัว จนได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม ในโควตานักฟุตบอล

 

“เราเป็นเด็กต่างจังหวัด เพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ เจอเพื่อนดูถูก แบบเขาอยู่กันมานาน แต่เราก็พยายามพิสูจน์ตัวเอง ให้เขายอมรับเราให้ได้ว่าเรามีดีพอจะมาช่วยเขา ไม่ใช่มาเป็นภาระของเขา”

 

ช่วงชั้นมัธยมปลายเขาผ่านการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนหลายรายการ สะสมประสบการณ์เพื่อก้าวไปข้างหน้า กระทั่งเรียนจบก็ไปคัดตัวจนได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เล่าเรียนฟรีในฐานะนักฟุตบอลของมหาวิทยาลัย

  

กรกชเริ่มเล่นฟุตบอลให้กับทีมมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตในดิวิชัน 2 ก่อนย้ายไปทีมกรมศุลกากร ตามด้วย สงขลา ยูไนเต็ด ที่เขาบอกว่าเป็นทีมแจ้งเกิดของตนเอง

 

“ช่วงนั้นบอลไทยลีกได้รับความนิยมสูง แล้วทีมสงขลา ยูไนเต็ด อยู่ในดิวิชัน 1 ก็กระแสแรง คนดูเยอะมาก คนก็เลยโฟกัสทีมนี้ว่ามีใครเล่นบ้าง ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กดาวรุ่ง แล้วโชว์ฟอร์มดีในระดับหนึ่ง ก็เลยไปเข้าตาบรรดาทีมใหญ่ที่กำลังมองหาดาวรุ่งไปเสริมทีม”

 

หลังจากนั้นเขามีโอกาสย้ายไปเล่นให้ทีมใหญ่ เช่น บีอีซี เทโรศาสน ตามด้วย บางกอกกล๊าส เอฟซี และ ชลบุรี เอฟซี ก่อนมาลงเอยกับทีมบ้านเกิดอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในปี พ.ศ. 2559

 

ในบรรดาสโมสรที่ กรกช วิริยอุดมศิริ เคยไปค้าแข้งด้วยนั้น แฟนบอลคงจดจำผลงานแบ็กซ้ายรายนี้ได้จากสไตล์การเล่นที่โดดเด่นของเขา คือการเปิดบอลจากริมเส้นที่แม่นยำและการยิงฟรีคิก

 

“ถ้าให้ผมไปลากเลื้อย กระชากบอลด้วยความเร็ว ก็ไม่ใช่สไตล์ผม แต่ผมจะชอบครอสบอล คือโยนบอลเข้าไป หรือลูกฟรีคิก คือให้บอลเดินทางเร็ว ผมว่าถ้าทีมไหนใช้ประโยชน์เรื่องนี้ มันสามารถเปลี่ยนเกม หรือทำประตูได้เลยนะ”

 

แน่นอนว่าความสามารถดังกล่าวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการฝึกซ้อมของเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ที่มุ่งมั่นอยากทำให้ได้แบบไอดอลของเขา

 

“ต้องย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ตอนเรียนชั้นประถม ผมชอบนักบอลทีมชาติ ไอดอลผมคือพี่โอ่ง-ดุสิต เฉลิมแสน แกออกบอลแม่น ครอสบอลแม่น เมื่อก่อนผมนั่งดูบอลทีมชาติในทีวี เขาแข่งเสร็จประมาณ 4 โมงเย็น ดูเสร็จปุ๊บ ผมเอาบอลไปตั้งเตะเลย อยากเล่นได้เหมือนเขา แล้วเวลาเล่นบอลกับเพื่อน ก็ชอบคิดว่าตัวเองเป็นดุสิต คือเราเลียนแบบเขาหรือใช้พี่เขาเป็นต้นแบบ แล้วก็ฝึกซ้อมมาเรื่อย จนทำให้มีสไตล์การเล่นแบบทุกวันนี้”

 

 

ด้วยความเป็นนักเตะที่เคยผ่านประสบการณ์กับหลายสโมสร เขาจึงมีความทรงจำหรือความประทับใจกับแต่ละแห่งแตกต่างกันไป

 

“ช่วงที่อยู่ทีมชลบุรีก็มีความสุขครับ เพราะเราอยู่แบบครอบครัว มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน ทั้งเพื่อนร่วมทีม ผู้ใหญ่ และแฟนบอล รู้สึกอบอุ่นครับ ผมไม่อยากจากชลบุรีนะครับ แต่พอมีหลายทีมติดต่อเข้ามา รวมทั้งบุรีรัมย์ด้วย เลยตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า”

 

กรกชเผยว่าระหว่างที่เล่นประจำตำแหน่งแบ็กซ้ายให้บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขาคิดว่าตนเองโชว์ฟอร์มสุดยอดและทำผลงานได้ดีที่สุด ในปีที่ปราสาทสายฟ้าคว้าแชมป์ไทยลีก ฤดูกาล 2018

 

“ผมว่าเป็นปีที่ผมพีกที่สุดแล้วมั้งครับ ที่บอกว่าพีก... เห็นได้จากสื่อทุกสำนักให้เราติดในรายชื่อทีมไทยลีกยอดเยี่ยม แล้วบุรีรัมย์ก็ได้แชมป์ไทยลีกด้วย ถือว่าเป็นปีที่ผมมีความสุขครับ”

 

อย่างไรก็ตามช่วงเวลา 2 ปีท้ายของเขากับปราสาทสายฟ้า แฟนบอลไม่ค่อยเห็นกรกชลงสนามเป็นตัวจริงเท่าไรนัก อาจด้วยเขามีอาการบาดเจ็บรบกวน และวัยที่สูงขึ้น ประจวบกับรุ่นน้องในทีมอย่าง ศศลักษณ์ ไหประโคน ก้าวขึ้นมาเล่นได้อย่างโดดเด่นในตำแหน่งเดียวกัน

 

การย้ายตัวมาสู่ทีม “ช้างเผือก” เชียงใหม่ ยูไนเต็ด จึงเป็นความท้าทายครั้งใหม่ของแบ็กซ้ายวัย 33 ปี ที่ยังอยากเล่นฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง

 

“ความท้าทายของผมคือ อยากพาทีมทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คือไม่หนีตกชั้น และได้อันดับเลขตัวเดียว ผมอยากทำให้แฟนบอลเชียงใหม่มีความสุข และผมก็ยังกระหายอยากเล่นฟุตบอลอยู่”

 

เขายังกล่าวเพิ่มเติมเรื่องนี้ว่า “คนเล่นเกมริมเส้นต้องช่วยทั้งรุกและรับ คือต้องใช้พละกำลังพอสมควร ที่ผมคิดนะ ตำแหน่งนี้จะมีช่วงพีกอยู่ไม่เกินอายุ 30 ครับ ถ้าใครรักษาสภาพร่างกายดีๆ ก็เล่นได้ต่อเนื่อง แต่จะให้ไปวิ่งเหมือนเด็กมันก็ยาก แต่ถ้าเรื่องเหลี่ยมบอล เซนส์บอล หรือจังหวะฟุตบอล ผมว่าผมยังมีประโยชน์ต่อทีมอยู่ ก็ทำให้ผมอยากเล่นฟุตบอลต่อจนกว่าจะเล่นไม่ได้ครับ”

 

“คือตอนเด็กกว่านี้เราก็ดูแลสภาพร่างกายมาระดับหนึ่ง แต่พออายุเยอะขึ้น เราต้องดูแลตัวเองอีกเท่าหนึ่งเลย ทั้งการเข้าฟิตเนส กินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้เรายืดอายุการเล่นฟุตบอลได้นานขึ้น และรักษาฟอร์มการเล่นที่เคยทำได้”

 

นอกจากผลงานในระดับสโมสรแล้ว กรกชเคยติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรกในช่วงที่ โค้ชง้วน สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ มาขัดตาทัพแทน วินฟรีด เชเฟอร์ ในรายการฟุตบอลเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก โดยเขาได้เล่นร่วมกับ ดัสกร ทองเหลา, ประทุม ชูทอง และ ธีรเทพ วิโนทัย โดยหลังจากนั้นเขายังได้ติดทีมชาติอีกหลายครั้งด้วยความภาคภูมิใจ

 

เมื่อถามว่าหากมีโอกาสเขาอยากกลับมาติดทีมชาติอีกหรือไม่ กรกชตอบว่า “ถ้าทีมชาติยังต้องการเราอยู่ ยังเห็นความสามารถของเรา ผมก็อยากเล่นให้ทีมชาติ แต่ความจริงผมอยากให้รุ่นน้องได้เล่นทีมชาติมากกว่า เพราะยังต่อยอดได้อีกเยอะ ส่วนผมอยู่ในช่วงท้ายของอาชีพแล้ว”

 

"คือผมอยากให้โฟกัสที่เด็กมากกว่า ทีมชาติควรกลับไปคิดว่า ทำไมคุณต้องรอแค่มุ้ย แค่เจ แต่ถ้าคุณสร้างคนที่เหมือนมุ้ย เหมือนเจมาสัก 2-3 คน น่าจะดีกว่า ผมว่าทีมชาติไทยน่าต้องเริ่มสร้างตั้งแต่รุ่นเด็ก บ่มเพาะให้เขามีประสบการณ์ในระดับชาติมาตั้งแต่อายุยังน้อย เกาะกลุ่มกันขึ้นมาตั้งแต่แรก ใครฟอร์มดีก็เอามาเสริม ปรับตัวเข้าออกตามความเหมาะสม อาจเสริมแกร่งด้วยการให้เล่นแบกอายุข้ามรุ่นแบบญี่ปุ่น เช่น ในการแข่งขันฟุตบอลซีเกมส์รุ่น 23 ปี เราก็ส่งรุ่นอายุ 20 ปี เพื่อตั้งเป้าว่าชุดนี้จะมุ่งไปฟุตบอลโลกอย่างที่ญี่ปุ่นทำ แล้วพอนักเตะชุดนี้อายุสัก 27-28 ก็จะแข็งแกร่งพอสู้กับชาติอื่นได้”

 

แนวคิดเกี่ยวกับทีมชาติของกรกช นอกจากน่าสนใจแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับฟุตบอลระดับเยาวชน จึงไม่แปลกใจเมื่อรู้ว่าปัจจุบันกรกชยังหันมาเปิดอะคาเดมีสอนฟุตบอลที่บุรีรัมย์บ้านเกิดอีกด้วย

 

“ความตั้งใจที่ผมทำอะคาเดมี ก็มาจากปมของผมตอนเด็กที่บอกว่าใครอยากเล่นฟุตบอลจริงจังก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ เท่านั้น เหมือนผมโตมาโดยไม่ได้รับการฝึกที่ถูกต้อง ก็อยากทำให้น้องๆ ใน จ.บุรีรัมย์มีเส้นทางฟุตบอลที่ดีกว่าผม เพื่อให้พวกเขาได้ต่อยอดไปสู่อะคาเดมีของสโมสรฟุตบอล หรือเข้าเรียนต่อในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านฟุตบอล”

 

กรกชยังบอกว่าอะคาเดมีของเขาเปิดรับเด็กตั้งแต่อายุ 4-15 ปี และสอนโดยแนวคิดเน้นการพัฒนามากกว่าการแข่งขัน รวมทั้งแนะนำเรื่องสำคัญอย่างทัศนคติที่ดีในการเล่นฟุตบอล

 

“อยากให้เด็กๆ มีวิธีคิด หรือทัศนคติที่ดีต่อฟุตบอล ต่อเพื่อนร่วมทีม และต่อโค้ช คือเราควรเชื่อฟังโค้ช และไม่ควรมีอคติกับโค้ช ถ้าโค้ชด่าก็ให้มองว่าเขาอยากให้เราได้ดี”

 

สุดท้ายกรกชมองว่า ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้นักฟุตบอลสามารถเติบโตและพัฒนาไปได้อย่างถูกทาง


TAG ที่เกี่ยวข้อง

stadium

author

Play Now Thailand

Play Now Content Creator

โฆษณา