31 มกราคม 2563
ทำไมโตโยต้า ไทยลีกฤดูกาลใหม่จึงน่าดูกว่าฤดูกาลไหนๆ?
ฤดูกาลที่แล้วในเวทีฟุตบอลลีกบ้านเรามีสถิติใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์หน้าใหม่ครั้งประวัติศาสตร์ของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด, การวัดแชมป์ด้วยเฮดทูเฮดครั้งแรก, เทรนสีส้มที่มาแรงแซงทางโค้ง (เพราะทั้งแชมป์ลีกและบอลถ้วยต่างมาจากทีมโทนสีส้มด้วยกัน), ค่าเฉลี่ยแฟนบอลต่อเกมเกือบ 6 พันคน (มากที่สุดในรอบ 4 ปี), ดราม่าทีมตกชั้นและ “หัวเราะทีหลัง” ของสุพรรณบุรี เอฟซี ถือเป็นฤดูกาลที่มีหลายเรื่องราว หลากอารมณ์ ครบทุกอรรถรส
เท่าที่ผู้เขียนได้แลกเปลี่ยนพูดคุยในวงกาแฟกับเหล่ากูรูบอลไทยและแฟนบอลรุ่นใหญ่หลายท่านเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมรู้สึกได้ว่าฤดูกาลใหม่ไทยลีกปีนี้ดูจะน่าสนใจและชวนให้หลงใหลเป็นพิเศษ และอันดับในตารางน่าจะสะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของแต่ละสโมสรออกมาให้เห็นชัดกว่าทุกครั้ง
เหตุผลที่ทำให้ใครหลายท่าน (รวมถึงตัวผม) ต่างเห็นเป็นอย่างนั้นมันมีอยู่ด้วยกัน 1-2 ข้อ
#ข้อแรก คือ การเข้ามาของวีเออาร์
“เป่าแปลกๆ” , “ทำไมถึงไม่เป่า?” และ “แมน ออฟ เดอะ แมตช์คือเปาไง (จะใครล่ะ)” คือ สามประโยคที่เชื่อว่าในฤดูกาลที่แล้วท่านผู้อ่านคงเคยเห็นหรือเคยได้ยินโวหารเหล่านี้กันมาบ้าง (โดยเฉพาะในแมตช์สำคัญๆที่เอฟเฟ็คของผลการแข่งขันดูจะมีผลกระทบแบบเป็นวงกว้างทั้งด้านการลุ้นแชมป์, ลุ้นพื้นที่เอซีแอล หรือแม้แต่ลุ้นตกชั้น)
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาฟุตบอลไทยมีอยู่หลายครั้งที่มาตรฐานการตัดสินของกรรมการในแต่ละนัดดูจะไม่ได้อยู่ในมาตราฐานเดียวกัน มีหลายครั้งที่จังหวะฟาวล์ในแบบเดียวกันแต่คำตัดสินกลับออกมาแตกต่าง และก็มีหลายครั้งที่คำตัดสินของกรรมการนำมาซึ่งประเด็นอ่อนไหวมากมายภายหลัง (จนมีกระแสออกมาเป็นพักๆ เรื่องการนำเข้าเปานอกมาช่วยตัดสินในแมตช์สำคัญๆ)
โดยในฤดูกาลใหม่มีการเปิดเผยออกมาแล้วว่าลีกของไทยจะใช้วีเออาร์ในทุกสนาม และผลจากการใช้เทคโนโลยีที่ว่าก็น่าจะช่วยลดความสงสัย, คลายข้อกังขา และเรียกความเชื่อมั่นจากคนทำทีม, โค้ช, นักเตะและแฟนบอลขึ้นมาได้บ้าง (อาจไม่ถึงกับต้องถูกต้องแม่นยำในทุกจังหวะแต่ก็น่าจะดีกว่าหลายฤดูกาลที่ผ่านๆมา)
#ข้อสอง คือ ไทยลีกปีนี้จะเป็นฤดูกาลที่การต่อสู้ดูจะเข้มข้นกว่าทุกครั้ง
ผลของการทำเอ็มโอยูร่วมกันระหว่างสมาคมฟุตบอลไทยกับสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น และผลงานของนักเตะไทยที่ได้ไปค้าแข้งในเจลีกทั้งเจ้าเจ, เจ้ามุ้ย, เจ้าอุ้ม และเจ้านิว นำมาซึ่งการยอมรับและโอกาสของนักเตะไทย
ต้องยอมรับว่าในเวลานี้หลายสโมสรในเจลีกต่างให้ความสนใจนักเตะไทยมากขึ้น และด้วยระเบียบของเจลีกเองในเรื่องโควต้าตัวต่างชาติที่เอื้อให้นักเตะไทยทำให้การจะไปค้าแข้งที่นั่นดูจะเป็นเรื่องที่ใครๆก็หวังกันได้ (หากเพลงแข้งเป็นที่ยอมรับ, ต้นสังกัดให้การสนับสนุน และเจ้าตัวมองเรื่องการพัฒนาสำคัญกว่าค่าจ้างที่ตนจะได้รับ)
ยิ่งในหลายๆครั้ง (ในบางสนาม) ก็มีแมวมองจากเจลีกมานั่งดูเกมถึงหน้างาน มีการให้ข่าวจากฝั่งญี่ปุ่นถึงกลุ่มนักเตะที่เข้าข่ายและกำลังเป็นที่สนใจออกมาเป็นระยะๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นให้นักเตะที่ตกเป็นเป้าต้องตื่นตัวและทำผลงานให้ออกมาดีเท่านั้น มันยังช่วยผลักดันให้นักเตะไทยรายอื่นอยากพัฒนาตัวเองขึ้นมาแข่งขัน และนั่นจะเป็นที่มาของจำนวนเกมคุณภาพที่แฟนบอลจะได้รับชมกันทุกสัปดาห์
อีกเรื่องคือโควต้าเอซีแอลในปีนี้ที่มีมากถึง 2 บวก 2 (จากเดิมที่ได้แค่ 1 บวก 2) นั่นหมายความว่าในกลุ่มบนของตาราง ไม่เพียงแต่แค่เรื่องแชมป์เท่านั้น การสู้กันเพื่ออันดับ 2 และ 3 ก็จะมันส์ไม่แพ้กัน (เพื่อตั๋ว 2 ใบในรอบเพลย์ออฟเอซีแอล 2021)
ประกอบกับสถานการณ์ของเหล่าทีมใหญ่ (ทั้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ดและเมืองทอง ยูไนเต็ด) ที่ในฤดูกาล 2019 ที่ผ่านมาทุกทีมต่าง “มือเปล่า” มาเหมือนๆกัน ดังนั้นแต่ละทีมน่าจะมีแรงขับสำหรับฤดูกาลใหม่นี้มากกว่าใคร และการช่วงชิงตำแหน่งจ่าฝูงน่าจะเริ่มกันตั้งแต่ระฆังลั่น
โตโยต้า ไทยลีกกำลังจะกลับมาแล้วนะ!..แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น วันนี้ (และอาทิตย์นี้) มาดูท่าเรือพบกว่างโซ้งเรียกน้ำย่อยกันไปก่อนในออมสิน ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2020 เป็นการโหมโรงก่อนเปิดซีซั่นอย่างเป็นทางการ
ว่าแต่ท่านผู้อ่านล่ะ..เทรนปีนี้ ปี 2020 ท่านว่าสีไหนจะมา ?
TAG ที่เกี่ยวข้อง