stadium

3 สิ่งที่หายไปที่ไทยต้องรีบหาให้เจอ!

4 มิถุนายน 2564

3 สิ่งที่หายไปที่ไทยต้องรีบหาให้เจอ!

#ช้างศึกริงไซด์ by akinson149

 

​“ผิดหวังว่ะ...”

 

​ผมเชื่อว่านี่คือความรู้สึกที่อยู่ในใจของชาวไทยทุกคนหลังทีมของเราไม่สามารถเอาชนะทีมชาติอินโดนีเซียได้ในค่ำวานที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่นี่น่าจะเป็นแมตช์ที่ง่ายที่สุดในบรรดาสามนัดที่เรามีเพราะทีมคู่แข่งมีแต่นักเตะไร้ประสบการ์ณ, เกรดบอลและชื่อชั้นเมื่อเทียบกับยูเออีและมาเลย์ก็ต่ำกว่าด้วยซ้ำ

 

​ต้องยอมรับจริงๆกับสิ่งที่เราได้เห็นตลอด 90 นาทีบวก ๆ กับช่วงเวลาอันแสนยาวนานที่แฟนบอลได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยแมตช์ที่ว่ามามากถึง 562 วัน มันเลยไม่แปลกที่ว่าความผิดหวังในผลการแข่งขันในนัดนี้จึงมีอิมแพ็คอย่างมากต่อหัวจิตหัวใจของคนไทยทั้งชาติ(ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น)

 

​มีคนตั้งคำถามว่า “อินโดฯมาดีหรือเราเองที่แย่ถึงทำให้เกิดเหตุการณ์เสมอก็เหมือนแพ้!?”

 

​ผมว่ามันก็ทั้งสองอย่างแหละ แต่ถ้าจะให้พูดในมุมของผมแบบที่โฟกัสแค่ตัวเราเท่านั้น มันก็บอกได้เลยว่าทีมชาติไทยในเกมเมื่อค่ำวานมีมากถึงสามอย่างที่ขาดหายไปในเกมนั้น

 

อย่างแรก คือ ความกระหายในชัยชนะ

 

​ปฎิเสธไม่ได้ว่านักเตะของอินโดฯ โชว์ให้เห็นในสนามว่าแม้พวกเขาจะตกรอบไปแล้วแต่เกมกับไทยก็ยังมีความหมายสำหรับพวกเขา และนักเตะอิเหนาต้องการชนะไทยให้ได้

 

​อาจเป็นเพราะนี่คือชุดผู้เล่นหน้าใหม่ที่แน่นอนว่าพวกเขาจะลงสนามภายใต้ชุดความคิดที่ว่า “นี่อาจเป็นเกมแรกและเกมสุดท้ายในสีเสื้อทีมชาติ” เพราะอย่างที่รู้กันจากข่าวที่ออกมาเป็นระยะ ๆ ถึงสไตล์การทำทีมของกุนซือชาวเกาหลีใต้อย่างชิน แท ยอง ที่แสดงคาแร็คเตอร์ออกมาอย่างชัดเจนแถมยังเทคแอคชั่นสมทบอีกด้วยว่า “อินโดฯยุคใหม่จะมีแต่คนที่พร้อมเท่านั้นและเรื่องซีเนียร์-จูเนียร์กับชื่อเสียงเมื่ออดีตกาลไม่ได้มีส่วนสำคัญ”

 

​นักเตะอินโดฯวิ่งเข้าหาบอลด้วยความหิวกระหายไม่ต่างจากเสือโหยที่ท้องกำลังว่าง พวกเขากล้าเข้าปะทะอย่างเต็มที่โดยไม่หวาดหวั่น และที่สำคัญคือพวกเขาไม่ได้กลัวไทยเลยเสียด้วยซ้ำ ในขณะที่ไทยแม้จะครองบอลได้มากกว่าแต่ก็ทำอะไรได้อย่างเชื่องช้าราวกับว่ากล้าๆกลัวๆอย่างบอกไม่ถูก

 

​อย่างที่สอง คือ เรารู้จักตัวเราดีพอแล้วหรือยังล่ะ?

 

​มีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกทั้งฉงนและกังวลใจอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่ที่มีการประกาศผู้เล่น11ตัวจริงในสนาม ตั้งแต่แผงหลังของไทยที่ทั้งสี่คนมาจากสโมสรที่ไม่ซ้ำกัน แถมแบ็คซ้ายที่ถือเป็นโจทย์ใหญ่หลังไทยไม่มี อุ้ม กลับแทนที่ด้วยนักเตะไร้ประสบการ์ณในทีมชาติอย่าง เอร์เนสโต้ ภูมิภา รวมไปถึงในเคสที่ว่าเมื่อผู้รักษาประตูและแบ็คขวาเป็นนักเตะที่มาจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดแล้วทำไมถึงไม่ใช้พรรษาและศศลักษณ์เพื่อให้แผงหลังของไทยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องทีมเวิร์คและปัญหาด้านการสื่อสาร

 

​อีกจุดที่ผมฉงนแบบยกกำลังสองคือการกล้าส่งเจ้าบุ๊ค เอกนิษฐ์ ปัญญาลงสนามแถมยังเป็น 11 ตัวจริงเลยด้วยซ้ำภายใต้คำถามที่ว่าไทยลีกที่ผ่านมาเจ้าตัวลงสนามไปแล้วกี่นัดและสภาพร่างกายเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับนักเตะรายอื่นอย่าง เจ้าเท่ห์ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์และ เจ้าเช็ค สุภโชค สารชาติ ที่สองรายหลังต่างทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัดและมีสภาพร่างกายที่ดูจะพร้อมมากกว่าเสียด้วยซ้ำ

 

​การหอบเอานักเตะไปเยอะแม้จะทำให้ทีมได้เปรียบในเรื่องการเตรียมทีมและความหลากหลายในรูปแบบการเล่นที่เราจะได้ แต่ก็ต้องแลกกับระบบทีมเวิร์คและความสมดุลของทีมที่ต้องเสียไป ดังนั้นคำถามที่เกิดขึ้นในหัวผมคือเวลาเพียงแค่เดือนเศษเท่านั้นกับแมตช์อุ่นเครื่องสามนัดก่อนแมตช์สำคัญมันเพียงพอแล้วที่จะทำให้เรารู้จักทีมของเราอย่างถ่องแท้ได้หรือไม่? และการตัดสินใจส่งใครซักคนลงสนามในแต่ละตำแหน่ง เราควรใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดระหว่างผลงานที่ผ่านมากับต้นสังกัดตลอดฤดูกาลกับผลงานในสนามซ้อมแค่สามนัด?

 

​ผมคิดว่าทั้งเรื่องที่อาจาร์ยนิชิโนะเลือก 11 ตัวจริงลงสนาม, ระบบการเล่นที่ใช้และรวมไปถึงเรื่องเปลี่ยนตัวช้าเกินไปล้วนแล้วแต่มาจาก “การไม่รู้จัก” ทีมของเราดีพอทั้งนั้น เพราะหากโค้ชรู้จักนักเตะทุกคนมากกว่านี้ หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามเมื่อค่ำวานอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเกม, ตำแหน่งยืนของตัวผู้เล่น, หน้าที่ของตัวสอดซ้อน ใครเข้าก่อน-เข้าหลัง, คอมบิเนชั่นเพลย์ และรวมไปถึงจำนวนนาทีที่นักเตะแต่ละรายจะได้อยู่ในสนาม

 

​อย่างสุดท้าย คือ การตีโจทย์ที่ไม่แตกก่อนลงสนาม

 

​“เกมรับที่ดีที่สุดคือการบุกเข้าใส่คู่แข่ง” วลีที่ทรงพลานุภาพและเป็นวลีสร้างชื่อให้แก่เป็ป กวาร์ดิโอล่าแถมยังเป็นที่มาของปรัชญาในการทำทีมสมัยเจ้าตัวอยู่กับบาร์เซโลน่า ซึ่งเขาได้นำพาความสำเร็จมากมายอย่างที่เราทุกคนได้เห็นกันเข้าสู่สโมสรแห่งแคว้นกาตาลุญญา

 

​หากโจทย์ของไทยในเกมกับอินโดฯ คือสามแต้มเท่านั้น ผมว่าสิ่งที่นักเตะไทยต้องทำคือต้องกดอินโดฯให้โงหัวไม่ขึ้นตลอดทั้งเกมและทำให้นักเตะอิเหนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเตะเยาว์วัยจากชุดยู23 เกิดความกลัวและความกดดัน พูดง่ายๆคือเราต้องทำให้เขาเห็นว่า“นี่คือทีมจากโถสามที่อันดับฟีฟ่าใกล้ท็อปร้อยของโลกและระหว่างผมกับคุณ มันยังคงมีระยะห่าง” (เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นได้แสดงให้เห็นในแมตช์กับมองโกเลียและพม่า)

​แต่สิ่งที่ผมได้เห็นในเกมเมื่อวานกลับกลายเป็นเสียงจากทีมงานสต๊าฟที่ย้ำกับนักเตะในสนามแบบถี่ยิบเมื่อตอนที่เราขึ้นนำว่า “ส่งคืนหลัง” กับ “ค่อยๆทำ” ซึ่งทำให้ผมเซอร์ไพร์สและแอบคิดในใจว่านั่นอาจเป็นหายนะของทีมชาติไทยในแมตช์นี้ เพราะแทนที่จะบุกเขาเพื่อให้ได้ประตูสอง-สาม-สี่และทำให้เขาท้อและฝ่อไป กลับกลายเป็นการเลี้ยงไข้หรือปลูกต้นไม้แห่งความหวังขึ้นในใจนักเตะอิเหนาแทน

 

​ผลการแข่งขันไม่เป็นใจและทีมชาติไทยทำให้แฟนบอลต้องผิดหวังจริงๆ มันคือเรื่องที่ทั้งนักเตะและทีมงานโค้ชต้องยอมรับและนำไปปรับปรุงใหม่

 

​กับช่วงเวลาก่อนเกมหนักกับเจ้าภาพจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน เราคงต้องมองหาสิ่งที่เรากำลังขาดให้ทะลุและรีบปิดจุดบอดนั้นให้ได้อย่างเหนียวแน่น, จริงจังและเด็ดขาด

 

​ผมคิดว่าเวลานี้แฟนบอลส่วนใหญ่คงไม่ขออะไรมาก หากแต่แค่อยากเห็นฟุตบอลที่ “สุด” ของทีมชาติไทยกลับมาใหม่อีกครั้งหลังจากที่เฝ้ารอคอยมามากกว่าห้าร้อยหกสิบสองวัน

 

​วิ่งให้สุด, ทุ่มเทให้สุด และเป็นนักสู้ให้ลึก “สุดใจ” และไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาแบบไหนในสองนัดที่เหลือ เราก็รับได้ทั้งนั้น!

 

​ลืมความผิดหวังในแมตช์กับอินโดฯนี้ไปแล้วเอาใหม่ เพราะงานของเรายังไม่จบ และนับจากนี้มันคือ 180 นาทีสุดท้ายสำหรับเวิร์ลคัพกับความภาคภูมิใจของคนไทย

 

​“ไทยแลนด์สู้สู้!”


stadium

author

“akinson149” พงศ์รัตน์ วินัยวัฒนวงศ์

Moderator เพจ thailandsusu (Section: บทความ-แปลข่าวบอลไทย) และคอลัมนิสต์ฟุตบอลไทย

La Vie en Rose